วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

10 ความเป็นที่สุดในประเทศไทย

ประเภทที่ 1   แหล่งท่องเที่ยวที่สูงที่สุดในประเทศไทย  
“ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์  จ.เชียงใหม่  ”



แน่นอนครับ ถ้าเรื่องของความสูงที่สุด คงจะต้องยกให้ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่  ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,565 เมตร เรียกได้ว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย ที่นี่มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่ปลายปีจนถึงต้นปี อุณหภูมิจะลดต่ำเกือบศูนย์องศาเซลเซียส จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในฤดูหนาวของทุกปี อีกทั้งภายในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ยังพันธุ์ไม้แปลก ๆ สวยงามให้ชมกัน อาทิ กุหลาบพันปี และยังมีน้ำตกแม่ยะ ที่ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามติดอันดับต้น ๆ ของประเทศอีกด้วย

ประเภทที่ 2   เกาะในประเทศไทย ที่อยู่ไกลจากฝั่งมากที่สุด
 “ เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ”



เกาะเต่า อยู่ห่างจากอ่าวบ้านดอน  จ.สุราษฎร์ธานี ประมาณ 120 กิโลเมตร โดยเกาะเต่ามีลักษณะคล้ายรูปถั่ว มีลักษณะเว้าเป็นอ่าวมากมายถึง 11 อ่าว แหลม 10 แหลม ตลอดแนวชาฝั่งของเกาะยาว 28.6 กิโลเมตร นอกจากนี้ เกาะเต่ายังมีแนวปะการังอันอุดมสมบูรณ์สวยงามที่มีความยาวถึง 8 กิโลเมตร จึงเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังและฝูงปลานานาพันธุ์ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวอีกด้วย

ประเภทที่ 3   อุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  
“ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ”



อันที่จริงแล้ว อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นั้นกินพื้นที่ครอบคลุมถึง 2 จังหวัด คือ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ รวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2,915 ตารางกิโลเมตร นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมล่องแก่งเรือยางที่มีความยาว 8 กิโลเมตร ใช้เวลาชั่วโมงเศษ เพื่อผ่อนคลายและสัมผัสกับวิถีชีวิตธรรมชาติของสองฟากฝั่งแม่น้ำเพชรบุรี และยังได้สนุกกับเครื่องเล่นผจญภัยต่าง ๆ ที่อยู่ริมน้ำเป็นกิจกรรมผจญภัยที่น่าสนใจ

ประเภทที่ 4  เขื่อนที่มีทัศนียภาพสวยงามที่สุดในประเทศไทย 
“เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี”  



เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นเขื่อนแกนดินเหนียวที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 4,860 เมตร ความสูงที่จุดสูงสุด 36.50 เมตร จุดเด่นที่น่าสนใจภายในเขื่อน ได้แก่ จุดชมวิวสันเขื่อน พิพิธภัณฑ์ลำน้ำป่าสัก ซึ่งแสดงความรู้ด้านธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยมีรถรางวิ่งพาชมทัศนียภาพบริเวณเขื่อนทุกวัน

ประเภทที่ 5    โรงแรมที่มีค่าห้องพักแพงที่สุดในประเทศไทย
“ โรงแรมแมนดาริน ดาราเทวี  จ.เชียงใหม่ ”



โรงแรมแมนดาริน ดาราเทวี  ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางนาข้าวและป่าหนาทึบ โดยครอบคลุมอาณาบริเวณกว่า 150 ไร่ ในพื้นที่อันร่มรื่นไปด้วยธรรมชาติสวยงามของเชียงใหม่ นอกจากความหรูหรากว้างใหญ่แล้ว จุดเด่นสำคัญอยู่ตรงที่ การตกแต่งบรรยากาศสไตล์ล้านนาทุกพื้นที่ ทำให้ติด 1 ใน 10 อันดับสุดยอดโรงแรมน่าพักในเอเชียของปีนี้อีกด้วย สนนราคาห้องพักที่แพงที่สุดคือห้องสวีท ราคาคืนละ 480,000 – 560,000 บาท แหม ! น่าไปนอนเล่นสักคืนนะครับ

ประเภทที่ 6    โรงแรมที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
“ โรงแรมแอมบาสเดอร์ซิตี้ จอมเทียน จ.ชลบุรี ”



นอกจากจะเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นโรงแรมที่ใหญ่ติดอันดับโลกอีกด้วย ด้วยพื้นที่กว่า 115 ไร่ และมีห้องพักไว้บริการถึง 5,000 ห้อง และยังพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบวงจร รวมถึงสระว่ายน้ำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอยู่ในโรงแรม ทำให้ที่นี่จัดเป็นอีกหนึ่งโรงแรมยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยว

ประเภทที่ 7  แหล่งท่องเที่ยวอินเทรนด์ที่สุดในประเทศไทยตอนนี้  
“ เชียงคาน จ.เลย ” 



เชียงคาน จ.เลย เมืองที่วิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นเป็นไปอย่างสงบเรียบง่าย ประกอบกับการที่เมืองอยู่ติดริมแม่น้ำโขง และเป็นเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงชาวบ้านยังช่วยกันรักษาอนุรักษ์เสน่ห์ของความเป็นเมืองเก่าที่สุดแสน จะโรแมนติคไว้ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างหลงใหลมนต์เสน่ห์ของเมืองเชียงคานกันมากขึ้นทุกที

ประเภทที่ 8  ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
 “ เซ็นทรัล เวิล์ด กรุงเทพฯ ”



ห้างเซ็นทรัล เวิล์ด มีพื้นที่ทั้งหมด 550,000 ตารางเมตร ซึ่งได้รวมห้างสรรพสินค้าเซ็น และอิเซตันเข้าไว้ด้วย แบ่งออกเป็น 7 โซน มีพื้นที่ขายของมากเป็นอันดับสามของโลก มีจำนวนร้านค้ามากกว่า 500 ร้าน นอกจากนี้ยังมี เซ็นทรัลเวิล์ด สกายวอล์ค ทางเชื่อมต่อลอยฟ้าระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สยามและสถานีชิดลม ไว้ให้บริการลูกค้าที่เดินทางเพื่อที่จะมาเดินเที่ยวห้างใหญ่ใจกลางเมือง ทั้งนี้ห้างสยามพารากอนนั้นมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองลงมา โดยมีพื้นที่ 500,000 ตารางเมตร

ประเภทที่ 9    ห้างสรรพสินค้าที่หรูหราที่สุดในประเทศไทย 
“ เกษร พลาซ่า  กรุงเทพฯ ”



แหล่งช้อปปิ้งสุดหรูตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ที่กำลังก้าวขึ้นสู่ปีที่ 8 บนเนื้อที่ไม่ถึง 20,000 ตารางเมตร ภายในอาคาร 5 ชั้น แต่เกษร พลาซ่า กลับเรียกได้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่หรูหราและมีระดับที่สุด ทั้งในเรื่องการตกแต่งและเรื่องสินค้าที่นำมาจำหน่ายในห้าง โดยร้านที่ตั้งอยู่ในห้างนี้ ล้วนได้รับการคัดเลือกอย่างมีคุณภาพ ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งแฟชั่นสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูระดับพรีเมียมของโลก กว่า 100 ร้านค้า

ประเภทที่ 10  ตลาดนัดที่มีพื้นที่จำหน่ายสินค้ากว้างขวางที่สุดในประเทศไทย
“ ตลาดนัดสวนจตุจักร  กรุงเทพฯ ” 



นอกจากกว้างขวางที่สุดในประเทศไทยแล้ว ยังเรียกได้ว่ากว้างขวางที่สุดในโลกก็ได้ ตลาดนัดสวนจตุจักร  เป็นตลาดนัดขนาดใหญ่ที่รวมสินค้านานาชนิดที่ไม่สามารถหาซื้อจากที่อื่นได้ พื้นที่มีขนาด 68 ไร่ แบ่งเป็น 27 โครงการ จำนวนร้านค้าประมาณ 200,000 ร้าน และมีสินค้าให้เลือกอีกกว่า 9,000 ชนิด โดยจุดที่คนส่วนใหญ่ใช้เป็นจุดนัดพบในการมาเดินช้อปปิ้งที่นี่ก็คือ หอนาฬากา ที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ถ้าเดิน ๆ อยู่แล้วหลงก็ให้นัดมาเจอกันที่หอนาฬิกา รับรองไม่หลงแ

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อาหารขยะ


ทุกวันนี้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปมากทำให้วิถีชีวิต   และพฤติกรรมของคนไทยเปลี่ยนไปต้องฝากท้อง   กับอาหารสำเร็จรูป

และอาหารด่วนซึ่งส่วนใหญ่มาในรูปอาหารตะวันตก ประเภทสะดวก และรวดเร็ว ทำให้ร้านสะดวกซื้อมีเพิ่มมากขึ้น เพราะซื้อหาได้ทั่วไป ถุกปากคนรุ่นหใม่ ใส่บรรจุภัณฑ์ เก๋ไก๋ พกพาสะดวก

คำว่า “Junk Food” เป็นศัพท์แสลงของอาหารที่มีสารอาหารจำกัดหรือที่เรียกว่า “อาหารขยะ” หมายถึง อาหารที่ให้ประโยชน์ทางโภชนาการน้อย และถ้ากินมากหรือกินประจำจะเป็นโทษต่อร่างกาย อาหารขยะส่วนใหญ่ประกอบด้วย น้ำตาล ไขมัน และแป้ง แต่มีส่วนประกอบของโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่น้อยมาก เช่น ลูกอม น้ำอัดลม อาหารจานด่วนบางชนิด ขนมขบเคี้ยว บะหมี่ซอง อาหารกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นแป้งที่ขัดสีเอาเส้นใยและวิตามินออกหมด ใช้น้ำตาลที่ผ่านการฟอกขาว แล้วเติมด้วยสารแต่งสี/กลิ่น ผงชูรส ตามด้วยกระบวนการทอด เป็นต้น

การบริโภคอาหารขยะเป็นประจำเป็นสาเหตุให้ร่างกาย ขาดสารอาหาร โปรตีน วิตามินและเกลือแร่ ที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย

เสี่ยงต่อภาวะการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไข้อ และโรคอ้วน ซึ่งส่งผลเสี่ยงต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองด้วย เช่นปัญหาด้านความจำของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน หรือคนที่ชอบบริโภคอาหารประเภทไขมันสูง   ทำให้มีปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี หรือ Low Density  Lipoprotein (LDL) และปริมาณไตรกลีเซอไรด์สูงจากงานวิจัยของ จอห์น   มอร์เลย์และคณะ   แห่งมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูริ พบว่าในหนูที่กินอาหารไขมันสูง  จะมีปริมาณไตรกลีเซอไรด์สูง    ซึ่งปริมาณไตรกลีเซอไรด์ที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นสาเหตุทำให้เสียความทรงจำ โดยศึกษาทดลองให้หนูกินยาที่มีผลลดปริมาณไตรกลีเซอไรด์ แต่ไม่มีผลให้น้ำหนักตัวลด พบว่าผลทดสอบด้านความจำดีขึ้น

นอกจากนี้อาหารขยะยังเป็นสารก่อภูมิแพ้ (allergen) ที่ถูกมองข้าม เนื่องจากอาหารขยะมีการดัดแปลงและปรุงแต่งโดยมีการใช้สารใน
กลุ่มสารแต่งสีอาหาร เช่น ทาร์ทราซีน (tartrazine) ให้สีเหลืองส้นอะมาเรนท์ (amaranth) ให้สีแดง เป็นต้น ซึ่งพบได้ในขนมและน้ำอัดลมต่างๆ ที่มีสีสันสดใส

กลุ่มสารกันบูด เช่น กรดเบนโซอิก (benzoic acid) โซเดียมเบนโซเอท (sodium  benzoate) ซึ่งมักพบในอาหารกึ่งสำเร็จรูปทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่ซอง ขนมกรุบกรอบ 

กลุ่มสารกันหืน 
ได้แก่ สารบิวทิลเลตไฮดรอกซีอะนิโซล (butylated  hydroxyanisole) ซึ่งมักพบในอาหารประเภททอด ขนมกรุบกรอบ ไอศกรีม มาการีน เป็นต้น

กลุ่มสารเพิ่มเนื้อและสารที่ทำให้ข้น 
เพื่อให้ปริมาณดูมากขึ้น ได้แก่ วุ้น (agar) คาร์ราจีแนน (carrageenan) ซึ่งมักพบในอาหารประเภทไอศกรีม เยลลี ครีมแต่งหน้าเค้ก เนยแข็ง 

กลุ่มผงชูรส 
ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดอาการผื่นแดงและอักเสบของผิว สำหรับคนที่มีแนวโน้มผิวแพ้ง่าย สารในกลุ่มเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงแต่งอาหารขยะซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้
        กรมวิทยาศาสตร์บริการได้จัดอบรมเกี่ยวกับระบบคุณภาพ GMP และ HACCP ซึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหาร หรือ Food  Safety อาหารขยะอาจก่อให้เกิดอันตรายทางเคมี ถ้าปริมาณสารบางชนิดในอาหารขยะที่กล่าวถึงข้างต้น ได้แก่ สีผสมอาหาร สารกันบูด มีปริมาณสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดอาจเกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคได้หรือถ้าผู้บริโภครับประทานอาหารขยะในปริมาณมาก ทำให้ปรอมาณสารเข้าสู่ร่างกายในปริมาณเกินกว่าร่างกายจะรับได้ อาจมีผลเสียต่อร่างกายได้

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ลองจิจูดและละติจูด


การใช้ระยะทางตามมุมในการบอกตำแหน่งบนผิวโลก จะมีเส้นศูนย์สูตรกับไพรม์ เมริเดียนเป็นวงกลมหลัก และเมริเดียนอื่น ๆ กับละติจูดขนานเป็นวงกลมรอง ค่าของระยะทางตามมุมที่ใช้ เพื่อบอกว่าตำแหน่งต่าง ๆ บนโลกอยู่ห่างจากเมริเดียนของกรีนิชไปทางตะวันออกหรือตะวันตกเท่าใด และอยู่ทางเหนือหรืออยู่ทางใต้ของเส้นศูนย์สูตรมากน้อยเพียงใดโดยคิดเป็นมุม ณ จุดศูนย์กลางของโลกที่รองรับด้วยส่วนโค้งบนผิวโลก ณ ที่หนึ่ง ๆ ค่าที่ใช้บอกแต่ละตำแหน่งที่กล่าวถึงนี้ คือ ลองจิจูด (longitude "") และ ละติจูด (latitude "") ของตำแหน่งนั้น
     ลองจิจูดของตำแหน่งใด ก็คือ ค่าของระยะทางตามมุมที่วัดจากเมริเดียนของกรีนิชไปทางตะวันออกหรือตะวันตก ตามเส้นศูนย์สูตรจนถึงเมริเดียนที่ผ่านตำแหน่งนั้น คิดเป็นองศาลิปดาและฟิลิปดา มีค่าตั้งแต่ 0-180 องศาตะวันออกหรือตะวันตก หรือใช้เครื่องหมาย + แทนตำแหน่งที่อยู่ทางตะวันออกของกรีนิช และเครื่องหมาย - แทนตำแหน่งที่อยู่ทางตะวันตกของกรีนิช
     ละติจูดของตำแหน่งใด ก็คือ ค่าของระยะทางตามมุมที่วัดจากเส้นศูนย์สูตรไปทางเหนือ หรือทางใต้ตามเมริเดียนซึ่งผ่านตำแหน่งนั้น คิดเป็นองศาลิปดา หรือฟิลิปดา มีค่าตั้งแต่ 0-90 องศาเหนือหรือใต้ หรือใช้เครื่องหมาย + แทนตำแหน่งที่อยู่ทางเหนือและเครื่องหมาย - แทนตำแหน่งที่อยู่ทางใต้ของเส้นศูนย์สูตร
     เส้นลองจิจูดที่ผ่านมาประเทศอังกฤษที่กรีนิช เป็นเส้นสำคัญที่ทุกประเทศต้องใช้เทียบเวลา ประเทศที่อยู่ทางทิศตะวันออกของอังกฤษจะอยู่บนลองจิจูดตะวันออก เช่น กรุงเทพฯ อยู่ที่ลองจิจูด 100.5 องศาตะวันออก นั้นคือ เวลาประเทศไทยจะเร็วกว่าเวลาที่อังกฤษอยู่ 105/15 หรือ 7 ชั่วโมง (15องศา = 1 ชั่วโมง) เช่นถ้าอังกฤษเป็น 0 นาฬิกาหรือเที่ยงคืน ประเทศไทยจะเป็นเวลา 7 นาฬิกา อำเภอหรือจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทยที่อยู่ลองจิจูดและไม่อยู่บนลองจิจูดเดียวกัน จะมีเวลาท้องถิ่นหรือเวลาเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นแตกต่างจากเวลามาตรฐานของประเทศ เช่น กรุงเทพฯอยู่ที่ลองจิจูด 100.5 องศาตะวันออกจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นช้ากว่าอุบลราชธานี (อุบลราชธานีอยู่ที่ลองจิจูด 105 องศาตะวันออก เท่ากับ (105 - 100.5)x4 หรือ 18 นาที (1องศา = 4 นาที)
     ประเทศที่อยู่ทางตะวันตกของอังกฤษจะอยู่บนลองจิจูดตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกาอยู่ระหว่างลองจิจูด 67 องศาตะวันตกถึงลองจิจูด 125 องศาตะวันตก เวลาจะช้าเท่าประเทศที่อยู่บนลองจิจูดตะวันออก
แสดงลองจิจูด และละติจูด

วิธีแก้สะอึก

สะอึก (hiccup) เกิดจากกะบังลมทำงานไม่เป็นปกติ กะบังลมกั้นอยู่ระหว่างช่องท้องกับช่องอก ทำงานโดยยืดและหดในจังหวะสม่ำเสมอเพื่อช่วยในการหายใจ สาเหตุของการสะอึกอาจเกิดจากมีอะไรไปรบกวนประสาทที่ควบคุมการทำงานของกะบังลม ลมในกระเพาะอาหารขยายตัวไปกระตุ้นปลายประสาทที่มาเลี้ยงกะบังลม หรืออวัยวะใกล้กะบังลมเป็นโรคบางอย่าง เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
       
       สาเหตุเหล่านี้ทำให้กะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงทันทีทันใด การบีบรัดตัวของกะบังลมทำให้แผ่นเหนือกล่องเสียงที่คอหอยซึ่งปกติคอยกั้นไม่ให้อาหารเข้าไปในหลอดลมปิดลง เมื่อกะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงก็จะดึงอากาศเข้าสู่ปอดผ่านคอหอย อากาศจึงกระทบกับแผ่นปิด แล้วทำให้สายเสียงสั่นสะเทือน จึงเกิดเป็นเสียงสะอึก
       
       อาการสะอึกอาจเกิดขึ้นช่วงสั้นๆ และหายไปได้เอง ใช้เวลาไม่กี่วินาทีไปจนถึง 2-3 นาที ซึ่งพบได้บ่อยๆ แต่หากสะอึกอยู่นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันๆ หรือสะอึกในขณะนอนหลับ อาจต้องหาสาเหตุว่ามาจากโรคของอวัยวะต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น โรคเกี่ยวกับอวัยวะในช่องท้อง ในช่องปอด ในระบบสมองและประสาทส่วนกลาง เป็นต้น
       
       คนส่วนใหญ่มักจะสะอึกหลังจากการรับประทานอาหารมากเกินไปหรือเร็วเกินไป หรือรับประทานอาหารที่ทำให้มีก๊าซมาก บางคนอาจเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่มากเกินไป บางคนที่มีความตึงเครียดมากเกินไป ก็อาจเป็นสาเหตุของการสะอึกได้
       
       เทคนิคหยุดอาการสะอึกมีหลายวิธี การศึกษาชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา พบว่า การกลืนน้ำตาลทรายเปล่าๆ 1 ช้อนโต๊ะ สามารถแก้อาการสะอึกได้ถึง 19 คน จากจำนวน 20 คน
       
       นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆ อีกหลายวิธี ได้แก่
       - สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นหายใจไว้สักพัก
       - หายใจในถุงกระดาษ
       - กลืนน้ำแข็งบดละเอียด
       - เคี้ยวขนมปังแห้ง
       - บีบมะนาวให้ได้สัก 1 ช้อนชา แล้วจิบแก้สะอึก
       - ก้มตัวดื่มน้ำจากขอบแก้วด้านตรงข้ามหรือด้านที่ไกลจากริมฝีปาก
       - จิบน้ำจากแก้วเร็วๆ หลายๆ อึก ติดๆ กัน
       - ใช้นิ้วมืออุดหูประมาณ 20-30 วินาที
       - อุดหูไปด้วย แล้วดูดน้ำจากหลอดไปด้วย
       - แหงนหน้า กลั้นหายใจ นับ 1-10 จากนั้นหายใจออกทันที แล้วดื่มน้ำหนึ่งแก้ว
       - ใช้นิ้วคีบลิ้นแล้วดึงออกมาเบาๆ หรือแลบลิ้นออกมายาวๆ
       - กดจุด โดยออกแรงบีบเนินใต้นิ้วโป้งของมืออีกข้างหนึ่ง หรือกดบริเวณร่องเหนือริมฝีปาก
       - นวดเพดานปาก
       - ทำให้ตกใจ เช่น ตบหลังแรงๆ โดยไม่ให้รู้ตัวก่อน
       - ถ้าเป็นเด็กอ่อนควรอุ้มพาดบ่าใช้มือลูบหลังเบา ๆ ให้เรอ



ควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการสะอึกไม่หยุดนานกว่า 1 วัน มีอาการหายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือรู้สึกวิงเวียนร่วมด้วย หรือสะอึกทุกครั้งหลังจากรับประทานยาที่แพทย์จัดให้
       
       ในการค้นหาสาเหตุของการสะอึกเป็นเวลานานๆ แพทย์อาจต้องตรวจระบบทางเดินอาหาร ว่า มีการอักเสบของหลอดอาหารที่เกิดจากการย้อนกลับของน้ำย่อยที่มาจากกระเพาะอาหารหรือไม่ ต้องตรวจความผิดปกติในลำคอ หู จมูก ระบบทางเดินหายใจ และระบบสมองและประสาท
       
       แต่หากสะอึกเป็นระยะเวลาสั้นๆ ไม่นานนัก แต่เป็นหลายครั้ง อาจสังเกตจากกิจวัตรประจำวัน เช่น การรับประทานอาหาร การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือการสูบบุหรี่ ว่ามีความสัมพันธ์กับการสะอึกหรือไม่ ถ้าสัมพันธ์กัน ก็ควรจะปรับเปลี่ยนกิจวัตรเหล่านั้น

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การแบ่งเส้นเวลาตามหลักภูมิศาสตร์

การแบ่งเวลาของโลกโดยแบ่งออกเป็น 24 เขต แต่ละเขตมีความกว้าง 15 องศาลองจิจูด หรือ เวลา 1 ชั่วโมง โดยเขตแรกมีเส้นเมอริเดียนแรก หรือเมอริเดียน 0 องศา ผ่านเมืองกรีนิชเป็นแกนกลาง   


การแบ่งเส้นเวลาตามหลักภูมิศาสตร์
     


http://www.vcharkarn.com/uploads/30/30634.jpg
ภาพการแบ่งเขตเวลาของโลก  24  เขต  
         เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเอง ซีกหนึ่งของโลกจึงเป็นกลางคืนในขณะที่อีกซีกหนึ่งเป็นกลางวัน ในปี 1884 โดยความตกลงระหว่างประเทศต่างๆ ทั้งหมด 25 ประเทศได้มีการกำหนดเขตแบ่งเวลากันขึ้น หากเราลากเส้นแบ่งที่กึ่งกลางโลกไปบรรจบกันเป็นวงกลม เส้นนี้จะเรียกว่า อีเควเตอร์ (Equator) ที่ประชุมได้แบ่งจากเส้นนี้ ออกไปอีก 24 เส้นจากทั้งหมด 360 องศารอบโลก นั่นหมายความว่า แต่ละเส้นจะห่างจากเส้นที่อยู่ติดกัน 15 องศา (360หาร24 = 15) โดยเริ่มนับเส้นแรกจากเส้นเวลามาตรฐานกรีนิช (Greenwich) ประเทศอังกฤษแต่ละเส้นจากทั้งหมด 24 เส้น จะเป็นการแสดงความแตกต่างของเวลาหนึ่งชั่วโมง
          ประเทศไทย จะอยู่ในราวเส้นที่ 105 องศาตะวันออก หากหารด้วยสิบห้าก็จะได้เส้นแบ่งเวลาออกมาเป็นเส้นที่ 7 นั่นหมายความว่า เวลาในประเทศไทย จะล้ำหน้าเวลาในอังกฤษอยู่ 7 ชั่วโมงในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศใหญ่ จะมีการแบ่งเขตเวลาภายในประเทศออกเป็นสี่เขตด้วยกัน คือ ตะวันออก ภาคกลาง เทือกเขา และ แปซิฟิก (Eastern, Central, Mountain and Pacific) เช่น เวลา 7 p.m. เวลาตะวันออก จะเป็น 6 p.m. เวลาภาคกลาง เป็น 5 p.m.เวลาเทือกเขา และเป็นเวลา 4 p.m. เวลาแปซิฟิก
           วันและเวลาของโลกปฏิสัมพันธ์กับเส้นลองจิจูด  โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชั่วโมง เป็นมุม 360 องศา เอา 24 ไปหาร 360 จะได้ว่าโลกหมุนไปได้ชั่วโมงละ 15 องศา / นาทีละ 15 ลิปดา / วินาทีละ 15 ฟิลิปดา ดังนั้นค่าลองจิจูด หรือเส้นเมอริเดียนจะทำให้เราคำนวณเวลาทั้ง  24 เขตของโลก  การแบ่งเวลาของโลกโดยแบ่งออกเป็น 24 เขต แต่ละเขตมีความกว้าง 15 องศาลองจิจูด หรือ เวลา 1 ชั่วโมง โดยเขตแรกมีเส้นเมอริเดียนแรก หรือเมอริเดียน 0 องศา ผ่านเมืองกรีนิชเป็นแกนกลาง เขตเวลาของโลกจะนับตามลองจิจูดใดก็ตาม ถ้านับไปทางตะวันออก จะเร็วกว่าทางตะวันตก และถ้านับไปทางตะวันตกจะช้ากว่าเวลาทางตะวันออก
ประเภทของเวลา
1.  เวลามาตรฐานสากล(Greennich Mean Time) เวลาที่ลองจิจูด 0 องศา / เวลามาตรฐานกรีนิช
2.  เวลามาตรฐาน(Standard time)โดยแต่ละประเทศจะกำหนดเวลาประเทศของตน ยึดหลักตามลองจิจูดหลักของเขตเวลาของโลกที่ผ่านประเทศของตน เช่น ประเทศไทยกำหนดเวลามาตรฐานตามเวลาที่ลองจิจูด 105 องศาตะวันออก ซึ่งเร็วกว่าเวลามาตรฐานสากล 7 ชั่วโมงการนับเวลามาตรฐานของประเทศจะเท่ากันทั่วประเทศ แต่สำหรับประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ก็มีเวลามาตรหลายเวลาตามแต่ละเขตพื้นที่ เช่น อเมริกา รัสเซีย เป็นต้น
3.  เวลาท้องถิ่น (Local time)เวลาที่นับตามลองจิจูดที่ผ่านบริเวณนั้นจริงๆ เช่น จังหวัดอุบลราชธานีตั้งอยู่ที่ 105 องศาตะวันออก ซึ่งเร็วกว่าเวลามาตรฐานสากลอยู่ 7 ชั่วโมง กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ที่ลองจิจูดที่ 100 องศาตะวันออกจึงมีเวลาเร็วกว่าเวลามาตรฐานสากลอยู่ 6 ชั่วโมง 40 นาที เวลาที่นับตามลองจิจูดที่ผ่านจริงนี้ เรียกว่า เวลาท้องถิ่นเส้นที่เกี่ยวข้องกับเวลาที่สำคัญเส้นแบ่งเขตวันสากล ( International Date Time) โดยกำหนดประมาณที่เส้นลองจิจูดที่ 180 เป็นเส้นแบ่งเขตวันสากลแต่มีการเลี่ยงให้เส้นเขตวันนี้ผ่านเฉพาะพื้นน้ำ เพื่อขจัดปัญหาการมี 2 วันบนเกาะเดียวกัน ดังนั้นเส้นเขตวันนี้จึงไม่เป็นเส้นตรงตามเส้นเมอริเดียน 180 ตลอดทั้งเส้น อีกอย่างถ้าข้ามเส้นเขตวันนี้ไปทางซีกโลกตะวันตกต้องนับวันลดลง 1 วัน และถ้าข้ามเส้นเขตวันนี้ไปทางซีกโลกตะวันออกจะต้องนับวันเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน 
สรุปคือ
     1.  เส้นสมมติที่ลากแบ่งซีกโลกเป็นสองซีก คือ เส้นศูนย์สูตรเป็นเส้นที่ลากแบ่งซีกโลกเหนือ-ใต้
     2.  เส้นละติจูดมีประโยชน์  ในการแบ่งอุณหภูมิ  (ลักษณะทางภูมิอากาศ) เป็นเส้นที่ลากจากทิศตะวันตก
         
ไปทิศตะวันออก

     3.  เส้นลองติจูด คือ เส้นสมมติ ใช้ในการบอกเวลา กรีนนิชประเทศอังกฤษ เป็นเส้นที่ลากจากขั้วโลกเหนือ
         ไปยังขั้วโลกใต้

     4.  เส้นเมอริเดียน คือ เส้นสมมุติที่ลากแบ่งครึ่งโลกในแนวทิศเหนือ-ใต้  โดยเส้นลองติจูดที่ผ่านเมืองกรีนิช
      
    ประเทศอังกฤษ เป็นเส้นเมอริเดียนหลัก
   
     5.  เส้นลองจิจูดแต่ละเส้นมีความห่าง 1 องศา   มีเวลาต่างกัน  4   นาที

     6.  เมอริเดียนลองจิจูด 0 องศาเรียกว่า    เส้นเมอริเดียนหลัก       ซึ่งเส้นนี้ถูกกำหนดให้เป็นเวลาสากล
         เรียกเส้นนี้ว่า  เวลาปานกลางกรีนิช

     7.  เวลามาตรฐานคือ เวลาที่กำหนดขึ้นใช้ในเขตภาคเวลา
     8.  เวลาท้องถิ่นคือ เวลาที่คิดตามความแตกต่างของท้องถิ่นต่างๆ โดยดูจากค่าลองติจูด
     9. ทางราชการประกาศให้ประเทศไทยมีเวลาท้องถิ่นเวลาเดียวกันซึ่งเป็นเวลาที่เร็วกว่าที่กรีนิช  7 ชั่วโมง
         (6 ชั่วโมง 40 นาที)

     10. เส้นวันที่คือ...เส้นสมมติที่ลากแบ่งโลกออกเป็น 2 ซีก.........เป็นเส้นเมอริเดียนของลองจิจูดที่ 180 องศา

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ปรากฏการณ์เรือนกระจก

เรามาดูกันว่าทำไมก๊าซเรือนกระจกจึงทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และมันส่งผลกระทบอะไรกับโลกของเราบ้าง เมื่อหลายปีที่ผ่านมาคงมีคนเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์เรือนกระจกมาบ้างแล้ว  โจเซฟ ฟูริเออร์ เป็นผู้ค้นพบปรากฏการณ์เรือนกระจกเมื่อปี พ.ศ. 2367 ปรากฏการณ์เรือนกระจกนี้ทำให้โลกของเราเก็บความอบอุ่นไว้เพื่อให้สิ่งมีชีวิตในโลกดำรงค์ชีวิตอยู่ได้
แต่ในปัจจุบันประชากรของโลกเรานั้นเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากเมื่อ 57 ปีที่แล้วมี 2,500 ล้านคน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาถึง 6,600 ล้านคน เมื่อประชากรกำลังขยายตัวมากขึ้น ทรัพยากรก็ถูกนำมาใช้มากมายเพื่อสนองความต้องการของพวกเรา ทั้งการตัดไม้เพื่อมาสร้างที่อยู่หรือเครื่องใช้ต่างๆ รวมไปถึงน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน เกิดอุตสาหกรรมผลิตอาหารและสินค้ามากมาย ผลกระทบของการเผาผลาญพลังงานเหล่านี้ก็คือก๊าซเรือนกระจกที่ค่อยๆจับตัวกันบนชั้นบรรยากาศของโลก ในขณะที่ป่าไม้ก็ลดลงไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้จับตัวหนาอยู่บนชั้นบรรยากาศ ก็ทำให้ความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่จะต้องระบายออกไปอย่างสมดุลเป็นไปไม่ได้ โลกเราก็เลยเปรียบเหมือนเตาอบที่อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆน้ำแข็งที่อยู่ตรงขั้วโลกและที่ธารน้ำแข็งต่างๆก็จะละลายเร็วเกินไป ปกติน้ำแข็งจะสะสมไว้ในฤดูฝน เพื่อที่จะค่อยๆละลายออกมาไหลลงเป็นแม่น้ำต่างๆ อย่างเช่นแม่น้ำคงคา 70% เป็นน้ำที่ไหลมาจากการละลายของน้ำแข็งที่เทือกเขาหิมาลัย
เมื่อน้ำแข็งละลายเร็วเกินไปก็ส่งผลกระทบมากมายให้กับสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลก อย่างเช่นหมีขั้วโลกก็จะไม่มีน้ำแข็งไว้เหยียบ ต้องว่ายๆน้ำเป็นระยะทางไกลๆเพื่อหาอาหาร และอาหารของมันก็หายากมากขึ้นทุกที ทำให้หมีขั้วโลกนั้นใกล้จะสูญพันธุ์ ส่วนผลกระทบที่มีต่อพวกเรานั้นก็ได้เห็นกันไปมากมายแล้ว พอน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็วก็ทำให้อุณหภูมิของมหาสมุทรเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบกับสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย พอน้ำในมหาสมุทรเปลี่ยนไปก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในทะเล พวกปะการังก็จะค่อยๆตาย แนวปะการังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ ถ้าไม่มีปะการังสัตว์น้ำมากมายก็จะสูญพันธุ์ไป ตัวที่ยังอยู่ก็ไม่สามารถฟักไข่ได้ เพราะอุณหภูมิในน้ำไม่เหมาะสม อนาคตถ้าเรายังไม่ช่วยกันลดภาวะโลกร้อน เราอาจจะไม่มีปลากินแล้วก็ได้  
น้ำแข็งที่ละลายอย่างรวดเร็วยังทำให้น้ำในมหาสมุทรสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เฉลี่ย 3 มิลลิเมตรต่อปี แถมแผ่นดินก็เกิดเการทรุดตัวลงมาอีกด้วย แถวชานเมืองฝั่งตะวันออกของกรุงเทพทุรดตัวลงมา 5-10 เซนติเมตรต่อปี ถ้าเรายังไม่ช่วยกันลดภาวะโลกร้อน ต่อไปคงจะได้เล่นน้ำในกรุงเทพกัน เป็นทะเลกรุงเทพของแท้เลย
เราสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดภาวะโลกร้อนได้ โดยการหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของที่ทำให้เกิดก๊าซเหล่านี้ เช่น ตู้เย็นเก่าๆที่ยังใช้สารทำความเย็น CFCs อยู่, พวกสเปรย์ และยาฆ่าแมลงที่มีสารพวกนี้ หรืออาจจะไม่บริโภคสินค้าที่ใช้ยาฆ่าแมลง นอกจากจะดีต่อโลกแล้วยังดีต่อตัวเองอีกด้วย และวิธีที่ดีมากๆนั่นก็คือการช่วยกันปลูกต้นไม้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายวิธีที่คุณก็ทำได้ มาช่วยกันเถอะครับ คนละนิดละหน่อยเพื่อลดภาวะโลกร้อน เพื่อโลกของเรานั่นเอง 


เมฆ

เมฆ...การเกิดเมฆและชนิดของเมฆ

แม้ว่าเมฆจะเป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ เช่น วาดรูปธรรมชาติทีไรก็มักจะวาดรูปเมฆทุกครั้ง แต่ทราบไหมว่าเมฆที่เราวาดนั้นมีชื่อเรียกด้วยนะ ลองอ่านเรื่องของเมฆและชนิดของเมฆต่อไปนี้ จะได้เข้าใจมากขึ้น



เมฆนั้นเกิดมาจากละอองน้ำขนาดเล็กมากจำนวนนับพันๆล้านหยดและเบามากจนล่องลอยไปในอากาศได้ เมฆเริ่มต้นมาจากอากาศชื้นที่ถูกแสงอาทิตย์แผดเผาจนร้อน และเนื่องจากอากาศร้อนเบากว่าอากาศเย็น ดังนั้น มันจึงลอยสูงขึ้นไปในท้องฟ้า จากนั้นอากาศร้อนจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเล็กๆ ซึ่งจะรวมกลุ่มกันเป็นก้อนเมฆที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดหนักเกินกว่าที่จะล่องลอยไปในอากาศได้ก็จะตกลงมาเป็นฝน

ขั้นตอนการเกิดเมฆ 
1.เมฆจะเกิดขึ้นได้เมื่ออากาศร้อนชื้น 
2.เมื่อถูกแผดเผาด้วยแสงอาทิตย์อากาศชื้นจะลอยสูงขึ้น เหมือนกับฟองสบู่ที่เราเป่าออกมา 
3.สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า อากาศจะหนาวเย็น ดังนั้นอากาศร้อนที่ลอยขึ้นไปจะถูกทำให้เย็นลงกลายเป็นหยดน้ำขนาดเล็กที่ประกอบกันเป็นกลุ่มเมฆ 
4.เมื่ออากาศร้อนลอยขึ้นไปเหนือทะเล ทะเลสาบ และแม่น้ำ มันจะนำพาน้ำไปด้วย อากาศร้อนจะนำเอาน้ำมาจากพืช ซึ่งขึ้นอยู่บนพื้นดินไปด้วยเช่นกัน 
5.เมื่ออากาศร้อนชื้นลอยสูงขึ้นไปอยู่เหนือเทือกเขา จะปะทะกับอากาศเย็นเหนือเทือกเขา และเปลี่ยนเป็นเมฆ ซึ่งประกอบด้วยละอองน้ำขนาดเล็ก เมื่อรวมตัวเข้าด้วยกันมากขึ้นก็จะทำให้เกิดเป็นเม็ดฝน

เมฆชนิดต่างๆ
เมฆมีรูปร่างลักษณะและขนาดแตกต่างกัน บางทีเป็นปุยใหญ่ๆ บางทีก็เป็นริ้วบางๆขึ้นอยู่กับว่ามันก่อตัวขึ้นจากหยดน้ำหรือผลึกน้ำแข็ง นักอุตุนิยมวิทยาจำแนกเมฆชนิดต่าง ๆ ตามความสูงที่มันก่อตัวและรูปร่างลักษณะของมันว่าแผ่ออกเป็นแผ่นกว้าง(เมฆสเตรทัส) หรือ จับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน(เมฆคิวมูลัส) สามารถจำแนกเมฆได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ

1. เมฆกลุ่มก้อน หรือเมฆสำลี หรือเมฆคิวมูลัส (Cumulus : Cu)



ก้อนเมฆคิวมูลัสสังเกตได้ง่ายมากเป็นเมฆในระดับต่ำ มีลักษณะเป็นก้อนคล้ายปุยฝ้ายรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน สีขาว ที่เรามักพบเห็น ในยามที่อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส เมฆชนิดนี้มองดูเหมือนปุยสำลีลอยอยู่บนท้องฟ้าและมีรูปร่าง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เมฆที่มีรูปร่างเหมือนปุยสำลีก้อนนี้ แสดงให้เห็นว่า "หยดน้ำจิ๋ว" ถูกลมพัดให้มีรูปร่างเปลี่ยนแปลง ไปเรื่อยๆ บางครั้งอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นจนทำให้เกิดเป็นเมฆฝนฟ้าคะนองได้ เมฆคิวมูลัสอยู่สูงจากตัวเราประมาณ 500 เมตร

เมฆคิวมูลัสเกิดขึ้นเมื่ออากาศชื้นได้รับความร้อนจากแสงแดดและลอยตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อลอยสูงขึ้นไปกระทบชั้นบรรยากาศข้างบนที่เย็นกว่า ไอน้ำจึงเกิดการกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำขนาดจิ๋วๆ

2. เมฆแผ่นหรือเมฆสเตรทัส (Stratus : St)



สตราตัสในภาษาละติน แปลว่า เป็นชั้นๆ จะก่อตัวเป็นชั้นบางๆและมักจะอยู่ภายใต้ระดับความสูง 2,500 เมตร เป็นเมฆที่ก่อตัวเป็นชั้นเหมือนผ้าแถบ แต่เรามักจะไม่ค่อยเห็นเมฆสเตรทัสเกิดเป็นชั้นๆตามชื่อ กลับจะเห็นเป็นเมฆสีเทาไม่มีรูปร่าง และมักแผ่เป็นแผ่นกว้างใหญ่ออกไปทุกทิศทุกทาง บางทีอาจแผ่ไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร 

เมฆสเตรทัสซึ่งหนาเป็นชั้นๆ จะลอยตัวอยู่ในระดับต่ำใกล้พื้นดิน บางครั้งเมื่อเรามองผ่านเมฆสเตรทัสนี้ขึ้นไป จะเห็นดวงอาทิตย์เป็น วงกลมๆสีเงินยวงสวยงาม

เมฆชนิดนี้ก่อตัวขึ้นมาเมื่อชั้นอากาศที่ชื้นและร้อนลอยตัวสูงขึ้นอย่างช้าๆเหนือมวลอากาศเย็นเบื้องล่าง

3. เมฆริ้ว หรือเมฆหางม้า หรือเมฆเซอร์รัส (Cirrus : Ci)



เซอร์รัสในภาษาละติน แปลว่า ลอยลูกคลื่น มักจะพบเห็นอยู่ในบรรยากาศระดับสูง (เหนือ 6,000 เมตร) สูงกว่าเมฆทุกชนิด และอาจมีความยาวหลายร้อยกิโลเมตร

เมฆเซอร์รัสเป็นเมฆที่ก่อตัวอยู่ในระดับสูงที่สุด มีลักษณะเป็นเส้นๆคล้ายใยไหมหรือเป็นริ้วบางๆหยิกหยองเป็นปอยเหมือนขนนก หรือบางครั้งมองเห็นเป็นริ้วโค้งๆยาวพาดกลางท้องฟ้า ลอยตัวอยู่ในบรรยากาศระดับสูงมากบนท้องฟ้า อุณหภูมิของอากาศบนนั้นหนาวจัดจนเมฆชนิดนี้ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็งขนาดจิ๋วแทนที่จะเป็นหยดน้ำ บางครั้งอาจเรียกว่าเมฆหางม้า เพราะกระแสลมแรงจัดเบื้องบนพัดจนกลุ่มเมฆกระจายออกเป็นริ้วโค้งๆเหมือนกับหางของม้า

เมฆเซอร์รัสเป็นที่ปรากฎอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า บ่งบอกว่าข้างบนโน้นมีลมแรงจัดมากเมฆชนิดนี้เป็นสัญญาณแสดงว่าอากาศแปรปรวนและอากาศอาจกำลังกำลังเลวลง

ชนิดของเมฆ
เมฆต่างชนิดเหล่านี้อาจรวมตัวทำให้มีรูปร่างผสมระหว่างเมฆ 2 ประเภท เกิดเป็นเมฆชนิดใหม่ขึ้นหลายชนิด ซึ่งรวมทั้งสิ้นแล้วจะมีเมฆประมาณ 10 ชนิด

เมฆเซอร์โรคิวมูลัส (Cirrocumulus : Cc)



เมฆก้อนกระจุกเล็กๆแผ่เป็นแนวสีขาวประกอบขึ้นด้วย ผลึกน้ำแข็งเหล่านี้ มักเกาะตัวเป็นกลุ่มเรียงกันเหมือนกับ เกล็ดปลาแมกเคอเรลเรียกในภาษาอังกฤษว่า " mackerel sky " ส่วนบนของเมฆคิวมูโลนิมบัส มองดูเหมือนกับรูปทั่งน้ำแข็ง

เมฆเซอร์โรสเตรทัส (Cirrostratus : Cs)



เมฆที่อยู่สูงมากๆมักขึ้นด้วยคำว่า "เซอร์โร" เมฆเซอร์โรสเตรทัสเกิดจากผลึกน้ำแข็งเป็นเมฆ สีขาวโปร่งแสง บางครั้งจะปรากฏวงแหวนสีสวยงามขึ้นในเมฆเซอร์โรสเตรทัสหรือเมฆอัลโทรเตรทัสที่อยู่สูงๆ



เมฆนิมโบสเตรทัส (Nimbostratus : Ns)



เมฆหนาเป็นชั้นชนิดนี้ก่อตัวอยู่ในระดับต่ำๆและอาจมีความหนามาก เมฆนิมโบสเตรทัส อาจทำให้เกิดฝน หรือหิมะตกหนักติดต่อกันนานเป็นชั่วโมงๆ จึงมักเรียกกันว่า "เมฆฝน"



เมฆสเตรโทคิวมูลัส (Stratocumulus : Sc)



ถ้าเรามองเห็นเมฆก่อตัวเป็นม้วนยาวๆ ในระดับความสูงปานกลางล่ะก็ มักแสดงว่าอากาศกำลังจะดีขึ้น เมฆชนิดนี้ก็คือเมฆคิวมูลัสที่ แผ่ออกเป็นชั้นๆนั่นเอง



เมฆอัลโทสเตรทัส (Altostratus : As)



เมฆที่อยู่สูงระดับปานกลาง จะขึ้นต้นด้วยคำว่า "อัลโท" เมฆอัลโทสเตรทัสเป็นผืน เมฆแผ่นที่ประกอบด้วยหยดน้ำ



เมฆอัลโทคิวมูลัส (Altocumulus : Ac)



เมฆอัลโทคิวมูลัส คือเมฆคิวมูลัสที่เกิดในระดับ ความสูงปานกลาง และมีลักษณะเป็นแผ่น มองเห็นคล้ายกับก้อนสำลีแบนๆ ก้อนเล็กๆมาเรียงต่อๆ กัน เป็นคลื่นหรือเป็นรอน



เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus : Cb)



เมฆชนิดนี้มีรูปร่างเป็นหอคอยสูง เสียดฟ้า ทำให้เกิดฝนฟ้าคะนอง หรือพายุได้และอาจรุนแรงจนกลาย เป็นพายุทอร์นาโดหรือที่เรียกว่า "เมฆฟ้าคะนอง"ได้ เมฆคิวมูโลนิมบัสขนาดใหญ่ๆ อาจสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสต์เสียอีก

สีของเมฆ 

สีของเมฆนั้นบ่งบอกถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเมฆ ซึ่งเมฆเกิดจากไอน้ำลอยตัวขึ้นสู่ที่สูง เย็นตัวลง และควบแน่นเป็นละอองน้ำขนาดเล็ก ละอองน้ำเหล่านี้มีความหนาแน่นสูง แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องทะลุผ่านไปได้ไกลภายในกลุ่มละอองน้ำนี้ จึงเกิดการสะท้อนของแสงทำให้เราเห็นเป็นก้อนเมฆสีขาว 

ในขณะที่ก้อนเมฆกลั่นตัวหนาแน่นขึ้น และเมื่อละอองน้ำเกิดการรวมตัวขนาดใหญ่ขึ้นจนในที่สุดตกลงมาเป็นฝน ในระหว่างกระบวนการนี้ละอองน้ำในก้อนเมฆซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีช่องว่างระหว่างหยดน้ำมากขึ้น ทำให้แสงสามารถส่องทะลุผ่านไปได้มากขึ้น ซึ่งถ้าก้อนเมฆนั้นมีขนาดใหญ่พอ และช่องว่างระหว่างหยดน้ำนั้นมากพอ แสงที่ผ่านเข้าไปก็จะถูกซึมซับไปในก้อนเมฆและสะท้อนกลับออกมาน้อยมาก ซึ่งการซึมซับและการสะท้อนของแสงนี้ส่งผลให้เราเห็นเมฆตั้งแต่ สีขาว สีเทา ไปจนถึง สีดำ 

โดยสีของเมฆนั้นสามารถใช้ในการบอกสภาพอากาศได้ 

- เมฆสีเขียวจางๆ นั้นเกิดจากการกระเจิงของแสงอาทิตย์เมื่อตกกระทบน้ำแข็ง เมฆคิวมูโลนิมบัส ที่มีสีเขียวนั้นบ่งบอกถึงการก่อตัวของ พายุฝน พายุลูกเห็บ ลมที่รุนแรง หรือ พายุทอร์นาโด 

- เมฆสีเหลือง ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยครั้ง แต่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดไฟป่าได้ง่าย โดยสีเหลืองนั้นเกิดจากฝุ่นควันในอากาศ 

- เมฆสีแดง สีส้ม หรือ สีชมพู นั้นโดยปกติเกิดในช่วง พระอาทิตย์ขึ้น และ พระอาทิตย์ตก โดยเกิดจากการกระเจิงของแสงในชั้นบรรยากาศ ไม่ได้เกิดจากเมฆโดยตรง เมฆเพียงเป็นตัวสะท้อนแสงนี้เท่านั้น แต่ในกรณีที่มีพายุฝนขนาดใหญ่ในช่วงเดียวกันจะทำให้เห็นเมฆเป็นสีแดงเข้มเหมือนสีเลือด




วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

10 สะพานที่สวยที่สุดในโลก

อันดับที่ 10
The Khaju Bridge ประเทศอิหร่าน
The Khaju Bridge ประเทศอิหร่าน
The Khaju Bridge ประเทศอิหร่าน
  
อันดับที่ 9
Pont du Gard ประเทศฝรั่งเศส
Pont du Gard ประเทศฝรั่งเศส
  
อันดับที่ 8
Bridge of Sighs เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
Bridge of Sighs เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
  
อันดับที่ 7
Iron Bridge ประเทศอังกฤษ
Iron Bridge ประเทศอังกฤษ
Iron Bridge ประเทศอังกฤษ
  
อันดับที่ 6
Covered Bridges ประเทศแคนาดา
Covered Bridges ประเทศแคนาดา
Covered Bridges ประเทศแคนาดา
  
อันดับที่ 5
Ponte Vecchio ประเทศอิตาลี
Ponte Vecchio ประเทศอิตาลี
Ponte Vecchio ประเทศอิตาลี

อันดับที่ 4
The Wind and Rain Bridge ประเทศจีน
The Wind and Rain Bridge ประเทศจีน
  
อันดับที่ 3
Brooklyn Bridge มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา
Brooklyn Bridge มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา
Brooklyn Bridge มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา

อันดับที่ 2
Tower Bridge กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
Tower Bridge กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
Tower Bridge กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

อันดับที่ 1
Golden Gate Bridge มหานครซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
Golden Gate Bridge มหานครซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
Golden Gate Bridge มหานครซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พลังงานทดแทน


พลังงานทดแทนคืออะไร ? พลังงานทดแทนคือ พลังงานที่ใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นพลังงานหลักที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน พลังงานทดแทนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ                  1. พลังงานทดแทนจากแหล่งที่ใช้แล้วหมดไป เช่น ถ่านหิน แก๊สธรรมชาติ หินน้ำมัน
                 2. พลังงานทดแทนที่สามารถหมุนเวียนมาใช้ได้อีก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล น้ำ
                 พลังงานทดแทนที่สามารถหมุนเวียนมาใช้ได้อีก เป็นพลังงานที่ได้รับความสนใจในการศึกษาค้นคว้า และเหมาะสมที่จะนำมาใช้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแหล่งพลังงานในอนาคต และช่วยลดปัญหาด้านมลพิษ ที่เกิดจากการใช้พลังงานในปัจจุบัน              

                 พลังงานน้ำ เราสามารถสร้างเขื่อนที่กักเก็บน้ำไว้ในที่สูง ปล่อยให้น้ำไฟลงมาตามท่อเข้าสู่เครื่องกังหันน้ำ ผลักดันใบพัดให้กังหันน้ำหมุนเพลาของเครื่องกังหันน้ำ ที่ต่อเข้ากับเพลาของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่จะหมุนตาม เกิดการเหนี่ยวนำขึ้นในเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ทำให้เกิดพลังงานไฟฟ้า การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ อาจจะผลิตจากเขื่อนขนาดใหญ่ เขื่อนขนาดกลาง หรือเขื่อนขนาดเล็ก เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า สำหรับใช้ในชุมชนขนาดเล็ก ซึ่งปี 2547 โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศไทย มีกำลังผลิตติดตั้งรวม 2,973 เมกกะวัตต์
              พลังงานแสงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานความร้อน และแสงสว่างที่ใหญ่ที่สุด ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตใกล้เส้นศูนย์สูตร หรือเส้นแบ่งครึ่งโลก จึงได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ค่อนข้างสูง ค่าความเข้มพลังงานแสงอาทิตย์รวมเฉลี่ยของประเทศประมาณ 4.7 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ต่อตารางเมตรต่อวัน
                   หากเราสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ที่สอดส่องลงมาบนพื้นที่ของประเทศไทยเพียงหนึ่งในร้อยส่วนของพื้นที่ทั้งหมด เราจะได้รับพลังงานเทียบเท่าการใช้น้ำมันดิบประมาณ 7,000,000 ตันต่อปี การนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ทำได้สองลักษณะคือ
                   1. กระบวนการเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยเมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบลงมาบนแผงเซลล์แสงอาทิตย์ เซลล์แสงอาทิตย์จะทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ไปเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ
                   2. กระบวนการเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานความร้อน โดยให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านแผ่นรับแสงมาตกกระทบยังพื้นสีดำ ทำให้เกิดความร้อนเพิ่มมากขึ้นเหนือบริเวณพื้น เราสามารถนำพลังงานความร้อนที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในลักษณะต่าง ๆ อาทิ นำไปใช้ผลิตน้ำร้อน กลั่นน้ำ อบแห้งพืชผลทางการเกษตร
              พลังงานชีวมวล ชีวมวลคือสิ่งที่ได้มาจากสิ่งมีชีวิต เช่น ต้นไม้ อ้อย ถ่าน ฟืน แกลบ วัชพืชต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งขยะและมูลสัตว์ การนำชีวมวลมาใช้เป็นพลังงานนั้นสามารถทำได้ 2 ลักษณะคือ
                   1. กระบวนการที่ให้ความร้อน เช่น การนำถ่านไม้ หรือฟืน เพื่อให้เกิดความร้อน สำหรับนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ซึ่งได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีดังนี้ การพัฒนาและผลิตเตาที่ใช้กันอยู่ทั่วไปให้เป็นเตาประสิทธิภาพสูง (เตาซูเปอร์อังโล่) จุดไฟติดเร็ว ให้ความร้อนสูง มีควันน้อย ประหยัดเชื้อเพลิง และพัฒนาเตาประสิทธิภาพสูงสำหรับอุตสาหกรรมชนบทขนาดเล็ก เช่น เตานึ่งเมี่ยง เตานึ่งปอสา เตาเผาอิฐ ส่วนด้านเชื้อเพลิงนั้นได้คิดค้น และผลิตก้อนอัดชีวภาพ หรือเชื้อเพลิงเขียว โดยนำพืชหรือวัชพืชมาสับแล้วอัดแท่งตากแดด และอบให้แห้ง ก้อนอัดชีวมวลที่ได้จะจุดติดไฟง่าย ให้ความร้อนสูง
                    นอกจากนี้ ยังได้นำผลผลิต หรือผลพลอยได้ของพืชจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว ข้าวโพด อ้อย กากน้ำตาล มาผลิตเอทธิลแอลกอฮอล์ รวมทั้งนำมันสำปะหลังมาเผาโดยควบคุมความร้อน เพื่อให้ได้แก๊สชีวมวล เพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงต่อไป
                    2. กระบวนการทางชีวภาพ เป็นการนำมูลสัตว์ขยะน้ำเสียมาหมักในที่ที่ไม่มีอากาศ ปล่อยให้เกิดกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ ซึ่งจะได้แก๊สชีวภาพสำหรับเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้กับเตาหุงต้ม ตะเกียง เครื่องยนต์ หรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

              พลังงานลม ลมเป็นพลังงานที่มีอยู่ทั่วไปไม่มีวันหมด กระแสลมโดยเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ในระดับกลางถึงต่ำ ซึ่งมีความเร็วของกระแสลมต่ำกว่า 4 เมตรต่อวินาที เราได้นำพลังงานจากกระแสลมมาใช้ในการหมุนกังหันลมสูบน้ำ ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศไทยประมาณ 5,800 ชุด มีการศึกษาและพัฒนาการนำกังหันลมมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะที่แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ได้นำกังหันลมมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าร่วมกับการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์

                พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นพลังงานธรรมชาติเกิดจาก การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกเกิดแนวรอยเลื่อนแตก ทำให้น้ำบางส่วนจะไหลซึมลงไปใต้ผิวโลก ไปสะสมตัวและรับความร้อนจากชั้นหินที่มีความร้อนสูง กลายเป็นน้ำร้อนและไอน้ำที่พยายามแทรกตัวมาตามรอยเลื่อนแตกของชั้นมาบนผิวดิน อาจจะเป็นในลักษณะของน้ำพุร้อน ไอน้ำร้อน โคลนเดือด และแก๊ส น้ำร้อนจากใต้พื้นดินสามารถนำมาถ่ายเทความร้อนให้กับของเหลว หรือสารที่มีจุดเดือดต่ำง่ายต่อการเดือดและการเป็นไอน้ำ แล้วนำไอร้อนที่ได้ไปหมุนกังหัน เพื่อขับเคลื่อนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
                  นอกจากนี้ น้ำพุร้อนที่นำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว เมื่อมีอุณหภูมิต่ำลงเหลือประมาณ 80 องศาเซลเซียส สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานในการอบแห้งพืชผลทางการเกษตร เป็นพลังงานสำหรับห้องเย็น และเครื่องปรับอากาศได้ด้วย
                 แนวโน้มพลังงานทดแทนในอนาคต ปัจจุบันได้มีความพยายามศึกษา ค้นคว้า วิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนในรูปแบบต่าง ๆ ให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้สะดวก และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และช่วยลดค่าใช้จ่าย โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งในท้องถิ่น และภายในประเทศ สามารถผลิตและใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยลดการทำลายทรัพยากรที่กำลังเกิดขึ้นอย่างมากมาย และรุนแรงในปัจจุบัน ช่วยรักษาสมดุลย์ของธรรมชาติ อันเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อโลก และมนุษยชาติ เชื่อว่าพลังงานทดแทนจะเป็นหนทางหนึ่งของการแก้ไขวิกฤตการณ์ด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อมของโลกได้