ฤดูกาลเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเนื่องจาก แกนของโลกที่หมุนรอบตัวเองเอียงทำมุม 23 องศาครึ่ง กับแนว ซึ่งตั้งฉากกับแนว การโคจร รอบดวงอาทิตย์ ทำให้ตำแหน่งที่รังสีของดวงอาทิตย์ ส่องฉากกับพื้นโลกเปลี่ยนไป ตามช่วง เวลาของแนวทางการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ โดยมีตำแหน่งตั้งฉากเหนือสุด ที่
เส้นทรอปิก ออฟแคนเซอร์ ณ วันที่ 21 มิถุนายน เป็นวันเริ่มต้น
ฤดูร้อนของเขตอบอุ่นในซีกโลกเหนือ ณ ตำแหน่งที่โลกอยู่นี้เรียกว่า
อุตรายัน หรือ ครีษมายัน(summer solstice) เมื่อโลกโคจรต่อ แสงจากดวงอาทิตย์มาส่องตั้งฉากเลื่อนลงมาทางใต้ กระทั่งมาส่องตั้งฉากที่
เส้นศูนย์สูตร ณ วันที่ 22 กันยายน เรียกตำแหน่งที่โลกโคจรมาอยู่ ณ ตำแหน่งนี้ว่า
วิษุวัต เป็นวันเริ่มต้น
ฤดูใบไม้ร่วงของเขตอบอุ่นในซีกโลกเหนือ เรียกว่า
ศารทวิษุวัต(autumnal equinox) และเมื่อโลกโคจรต่อไปแสงจากดวงอาทิตย์ส่องตั้งฉากบริเวณซีกโลกใต้ จนกระทั่งแสงอาทิตย์ไปส่องตั้งฉากที่
เส้นทรอปิกออฟแคบริคอร์น ณ วันที่ 22 ธันวาคม เรียกตำแหน่งที่โลกโคจรมาอยู่ ณ ตำแหน่งนี้ว่า
เหมายัน หรือ
ทักษิณายัน(winter solstice) ถือว่าเป็นวันเริ่มต้น
ฤดูหนาวของเขตอบอุ่นในซีกโลกเหนือ หลังจากนั้นโลกจะโคจรต่อไปทำให้แสงอาทิตย์เลื่อนขึ้นไปและแสงอาทิตย์มาส่องตั้งฉาก ที่เส้นศูนย์สูตรอีกครั้ง ณ วันที่ 21 มีนาคม ตำแหน่งที่โลกโคจรมาอยู่นี้ เป็นวันเริ่มต้น
ฤดูใบไม้ผลิ ของเขตอบอุ่นในซีกโลกเหนือ เรียกว่า
วสันตวิษุวัต (vernal equinox)
สาเหตุ ดังกล่าวทำให้พื้นที่ต่าง ๆ บนพื้นโลกในแต่ละช่วงเวลามีอุณหภูมิแตกต่างกันไป จนสามารถแบ่งช่วงเวลาของ การเกิดฤดูตามเขตต่าง ๆ ได้โดยพิจารณาตำแหน่งการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์
ฤดูกาลในทวีปยุโรป ทวีปยุโรปเป็นทวีปที่น่าเที่ยวที่สุดในโลก ในสายตาของนักท่องเที่ยวผู้ช่ำชอง เพราะยุโรปเป็นทวีปที่รวมซึ่งโลกเก่า ที่ไม่เปลี่ยนแปลง และโลกใหม่ ของยุคเทคโนโลยีที่รุดหน้ากว่าใคร เป็นทวีปที่รวมไว้ซึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงที่สุด ทางโบราณคดี อารยธรรม และธรรมชาติสารพัด รูปแบบที่แปลกตา ในแต่ละปีช่วงที่น่าเที่ยวที่สุด ของยุโรป อยู่ระหว่างเดือนเมษายน-ตุลาคม เป็นเวลาที่อากาศดี
ฤดูใบไม้ผลิ (21มีนาคม-21มิถุนายน) เป็นช่วงเดือนที่ยุโรปกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่มีความวิเวกวังเวงและเยือกเย็นของฤดูหนาว ผ่านพ้นไปแล้วดอกไม้ใบหญ้าเริ่มผลิดอกออกใบ แสงแดดอ่อน ๆสีทองเรืองรองเริ่มสาดส่องลงมา เสียงนกเจื้อยแจ้วรับฤดูใหม่ อันมีชีวิตชีวาสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้กับธรรมชาติแวดล้อม อย่างมากมาย นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเรา นิยมไปเยือนยุโรปช่วงนี้มากที่สุด เพราะอยู่ระหว่างโรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน และที่สำคัญคือเป็นช่วง ที่ดอกไม้ ในยุโรปเบ่งบานงดงามที่สุด โดยเฉพาะในฮอลแลนด์ มีงานเทศกาล ดอกทิวลิป และสวนพฤกษชาติ เคอเคนฮอฟ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของ มวลดอกไม้นานาพันธุ์สดสีสวยงาม เปิดให้เข้าชมตอนกลางเดือน เมษายนถึงกลางเดือน พฤษภาคมเท่านั้น อากาศกำลังสบายน่าเที่ยว อุณหภูมิเฉลี่ย 12-22 องศาเซลเซียส
ฤดูร้อน. (21มิถุนายน - 22 กันยายน) ฤดูแห่งความอบอุ่น และมีชีวิตของยุโรป ระหว่าง3-4 เดือนนี้ ทวีปยุโรปจะสว่างไสวไปด้วยแสงแดดอันอบอุ่นที่สุดในรอบปีในแต่ละวันจะมีแดด ให้เห็นจนถึง 4 ทุ่มจึงพลบค่ำ แม้แต่ชาวยุโรปผู้รักธรรมชาติเองก็พากันลาพักร้อนไปตากอากาศ หรือพักผ่อนกันอย่างมากมาย สถานที่ ท่องเที่ยว อันเป็นที่โปรดปรานที่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ เมษายน .ถึงเดือนตุลาคม อาทิ เมืองตุ๊กตามาดูโรดัม ในฮอลแลนด์ อุทยานน้ำพุทิโวลี ที่กรุงโรม และเรือล่องแม่น้ำไรน์ ในเยอรมัน อากาศโดยทั่วไปเย็นตอนเช้าตรู่ และหัวค่ำ กลางวันร้อนแต่ไม่อบอ้าว อุณหภูมิเฉลี่ย 18-30 องศาเซลเซียส
ฤดูใบไม้ร่วง (22 กันยายน - 21 ธันวาคม) โดยทั่วไปยังอบอุ่นเช่นเดียวกับฤดูร้อนที่ผ่านมา สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไปเปิดตามปกติ เหมือน ฤดูร้อนจนกระทั่งปลายเดือน ตุลาคม อากาศจึงเริ่มเย็นขึ้น แต่ยังถือเป็นฤดูน่าเที่ยวของยุโรปอยู่ เนื่องจากใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวสด เป็นเหลืองปนน้ำตาลแดง สอดสีเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งทวีป อากาศกำลังเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ย 10-18 องศาเซลเซียส
ฤดูหนาว. (22ธันวาคม - 21 มีนาคม) ถึงแม้เดือนแห่งความอบอุ่นของฤดูร้อนจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ยุโรปก็ยังเต็มไปด้วย เอกลักษณ์ของความเป็นเมืองหนาวอย่างน่าชมทีเดียว ประเทศที่มี ภูเขาสูง (อิตาลี, สวิส, ฝรั่งเศส) จะมีหิมะปกคลุมอยู่ขาวนวล ถึงอากาศจะเย็น แต่นักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากก็ยังหลั่งไหลมายุโรป มาเพื่อสัมผัสกับ บรรยากาศอันสุขสงบของหิมะเมืองหนาว ยุโรปฤดูนี้จะเงียบ ไม่พลุกพล่าน หรือแออัดด้วยนักท่องเที่ยว เหมือนในฤดูร้อน อุณหภูมิเฉลี่ย 1 ถึง -10 องศาเซลเซียส |
 |
*ฝนแบบปะทะมวลอากาศ = การเคลื่อนที่ของมวลอากาศที่มีอุณหภูมิและความชื้นต่างกันพัดมาปะทะกัน ลมที่มีอุณหภูมิสูงมีไอน้ำมากมากระทบกับลมที่มีอุณหภูมิต่ำ ไอน้ำกระทบความเย็นเกิดการควบแน่นตกลงมาเป็นฝน ฝนพาความร้อน = เกิดจากอากาศร้อนลอยตัวสูงขึ้น โดยพาไอน้ำที่ระเหยลอยขึ้นไปในอากาศ กลายเป็นเมฆฝน เมื่อไอน้ำอิ่มตัว ก็จะกลั่นตัวตกลงมาเป็นฝน ฝนปะทะภูเขา = เกิดจากลมที่พัดพาความชื้นจากทะเลหรือมหาสมุทร ไปปะทะกับภูเขา ด้านรับลมของภูเขาจะเกิดฝนตกหนักด้านหลังเขามีฝนตกน้อย
**หยาดน้ำฟ้า = ผลิตผลของน้ำที่ได้จากฟ้า ได้แก่ หิมะ ฝน ลูกเห็บ น้ำค้าง เมฆ หมอก หิมะ = ผลึกน้ำแข็งเกิดจากไอน้ำในอากาศเปลี่ยนสถานะกลายเป็นน้ำแข็งขนาดเล็ก ฝน = ไอน้ำในอากาศที่เปลี่ยนสถานะจากเมฆกลายเป็นของเหลว ลูกเห็บ = ไอน้ำในอากาศที่เปลี่ยนสถานะจากเมฆกลายเป็นน้ำแข็งขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง น้ำค้าง = ไอน้ำในอากาศที่เปลี่ยนสถานะจากกาซกลายเป็นของเหลว พบอยุ่ตามยอดหญ้า ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียสจะกลายเป็นน้ำค้างแข็ง เมฆ = ไอน้ำในอากาศที่ลอยตัวอยู่เป็นกลุ่มในระดับสูงในบรรยากาศ หมอก = ไอน้ำในอากาศที่ลอยตัวอยู่เป็นกลุ่มเหมือนเมฆแต่ลอยตัวอยู่ในระดับต่ำมีฐานติดอยู่กับพื้นผิวโลก
|