วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความรู้เรื่อง ชีส

            
เมื่อเอ่ยถึง ชีส (cheese) หลายท่านคงเข้าใจว่า ชีส ก็คือเนย แต่ที่แท้จริง เนย คือไขมันล้วนๆ ที่ถูกแยกออกมาจากไขมันนมสด สำหรับ ชีส คือผลิตภัณฑ์นม ซึ่งเปลี่ยนลักษณะไปเป็นของแข็งด้วยกระบวนการทางอุตสหกรรมอาหาร โดยการเดิมเชื้อจุลอนทรีย์ลงไปในนม ให้นมจับกันเป็นลิ่ม และแยกตัวเป็นชั้นของเหลวเรียกว่า “เวย์” ที่มีคุณค่าทางอาหารจะถูกนำไปเลี้ยงสัตว์ บางครั้งยังสามารถจะถูกนำไปเลี้ยงสัตว์ บางครั้งยังสามารถนำไปทำยา หรือเครื่องบำรุงผิว

เมื่อทราบว่า ชีส คืออะไรแล้ว ต่อไปจะเล่าว่า ชีสมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างไรบล้าง ชีสเป็นแหล่งอาหาร ที่ประกอบด้วยโปรตีนแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส สังกะสี ไม่แพ้นม และวิตามิน 12 ของอาหารประเภทมังสะวิรัตน์อีกด้วย ขณะที่มีน้ำตาลแลคโตสในอัตราที่ต่ำกว่านม ซึ่งเป็นผลดีต่อผุ้ที่มีปัญหาในการดื่มนม

สำหรับท่านที่มีปัญหาในการดื่มนม อธิบายเพิ่มเติมดังนี้ บางคนร่างกายขาด “น้ำย่อยแลคโตส” หรือมีน้อย ทำให้เมื่อดื่มนมแล้วร่างกายไม่สามารถที่จะย่อย “น้ำตาลแลคโตสไ ที่มีอยู่ในนมได้ ส่งผลให้น้ำตาลแลตโตสที่เหลืออยู่ในร่างกายผ่านเข้าสู่ลำใส้ใหญ่ และถูกย่อยแบททีเรีย จนเกิดการหมักหมมเป็นก๊าช และกรด ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย หรือปวดท้อง

ดังนั้นผู้ที่มีปัยหาในการดื่มนม จึงหัดมารับประทาน ชีสแทนไม่เกิดอาการแพ้เหมือนการดื่มนม

เนื่องจาก ชีสเป็นอาหารที่มีสารอาหารเข้มข้น ชีสจึงเหมาะสมสำหรับเด็กวัยกำลังเจริญเติบโต ซึ่งต้องการอาหารที่มีพลังงาน และสารอาหารสูง โดยเฉพาะโปรตีน และแคลเซี่ยมซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเนื้อกระดูก ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ (การเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแกร่งควรจะเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก จนเป็นผู้ใหญ่ และเข้าสู่วัยสูงอายุ) นอกจากนี้ ชีสยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพฟัน เพราะมีน้ำตาลในปริมาณต่ำ แต่มีโปรตีนในรูปของแคลเซี่ยมที่ช่วยเคลือบผิวฟัน และป้องกันฝันผุ

การรับประทาน ชีสอาจจะได้รับไขมันมากกว่าดื่มนมเล้กน้อย แต่จะให้คุรประโยชน์มากกว่า การรับประทานเค้ก คุกกี้ หรือ ช็อกโกแลต ซึ่งให้แต่พลังงาน และไขมันเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ ชีสให้สารอาหารที่มีประโยชน์มากมายเหมือนนม สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก อาจจเลือกรับประทาน ชีสที่มีจากไขมันต่ำ เพราะจะมี คลอเรสเตอรอลต่ำเช่นกันดังนั้น ชีสจึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย

ที่มา : นิตยสาร เคล็ดลับการกิน

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เมื่อเป็นหวัดต้องทำอย่างไร


สำหรับผู้ที่เป็นหวัดนั้นอาจจะมีอาการเบา – หนัก ต่างกันซึ่งแล้วแต่ความแข็งแรงของร่างกาย(ที่ได้รับเชื้อหวัด บางมีแค่อาการทั่วๆไปเช่น จาม น้ำมูกไหล บางรายอาจจะ เป็นไข้ขึ้นสูง เจ็บคอ เพราะฉะนั้นเราควรดูแลในช่วงที่เป็นหวัด ให้บรรเทาให้เร็วขึ้น และช่วยให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ยาก

- ต้องดื่มน้ำมากๆ อันนี้ต้องบอกไว้ก่อนนะครับ การที่เราเป็นไข้ร่วมด้วยนั้นทำให้ร่างกายเราร้อนและอ่อนเพลียการดื่มน้ำเข้าไปจะไปช่วยในการปรับอุณหภูมิของร่างกายและทดแทนน้ำที่เสียไปได้ ช่วยปรับความสมดุลในร่างกายให้ไข้ลดลง

- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ที่มีวิตามินซีเยอะๆ อย่างเช่น ส้ม จะให้ร่างกายของเรามีภูมิคุ้มกันมากขึ้น

- นอนหลับผักผ่อนให้เพียงพอ ควรที่จะหยุดทำงานชั่วคราวเพื่อให้ร่างการผักผ่อนในระยะฟื้นตัว ร่างกายต้องกำจัดเชื้อโรคออกไป เป็นการพักผ่อนด้วยการนอนหลับ จะทำให้ร่างการฟื้นตัวเร็วขึ้น

- หากมีอาการใข้ขึ้นสูงควรที่จะหาผ้าซุบน้ำมาเช็คตัวเป็นระยะควรที่จะเป็นน้ำที่อุณหภูมิห้อง

- งดรับประทานสิ่งของที่เป็นพิษต่อร่างกาย อย่างเช่น ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์

- ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ หากอากาศมีความเย็นจัด ให้ห่มผ้าเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ

- หากมีอาการเจ็บคอให้ทำการกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ

- อย่าสั่งน้ำมูกแรงๆ แต่ให้ค่อยเช็ดไม่ควรเอาน้ำมูกกลับเข้าไป หากมีอากาศมากให้เสริมหมอนสูงขึ้นอีก เพื่อให้หายใจสะดวกมากขึ้น

- หากมีอาการยังหนักอยู่ให้รีบไปพอแพทย์ทันที เพราะอาจจะมีโรคแทรกช้อน หรืออาจจะเป็นเชื้อหวัดที่ต้องได้รับการดูรักษาเป็นพิเศษ

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ฤดูกาล

ฤดูกาลเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเนื่องจาก แกนของโลกที่หมุนรอบตัวเองเอียงทำมุม 23 องศาครึ่ง กับแนว ซึ่งตั้งฉากกับแนว การโคจร รอบดวงอาทิตย์ ทำให้ตำแหน่งที่รังสีของดวงอาทิตย์ ส่องฉากกับพื้นโลกเปลี่ยนไป ตามช่วง เวลาของแนวทางการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ โดยมีตำแหน่งตั้งฉากเหนือสุด ที่ เส้นทรอปิก ออฟแคนเซอร์ ณ วันที่ 21 มิถุนายน เป็นวันเริ่มต้นฤดูร้อนของเขตอบอุ่นในซีกโลกเหนือ ณ ตำแหน่งที่โลกอยู่นี้เรียกว่า อุตรายัน หรือ ครีษมายัน(summer solstice) เมื่อโลกโคจรต่อ แสงจากดวงอาทิตย์มาส่องตั้งฉากเลื่อนลงมาทางใต้ กระทั่งมาส่องตั้งฉากที่เส้นศูนย์สูตร ณ วันที่ 22 กันยายน เรียกตำแหน่งที่โลกโคจรมาอยู่ ณ ตำแหน่งนี้ว่า วิษุวัต เป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วงของเขตอบอุ่นในซีกโลกเหนือ เรียกว่า ศารทวิษุวัต(autumnal equinox) และเมื่อโลกโคจรต่อไปแสงจากดวงอาทิตย์ส่องตั้งฉากบริเวณซีกโลกใต้ จนกระทั่งแสงอาทิตย์ไปส่องตั้งฉากที่เส้นทรอปิกออฟแคบริคอร์น ณ วันที่ 22 ธันวาคม เรียกตำแหน่งที่โลกโคจรมาอยู่ ณ ตำแหน่งนี้ว่า เหมายัน หรือ ทักษิณายัน(winter solstice) ถือว่าเป็นวันเริ่มต้น ฤดูหนาวของเขตอบอุ่นในซีกโลกเหนือ หลังจากนั้นโลกจะโคจรต่อไปทำให้แสงอาทิตย์เลื่อนขึ้นไปและแสงอาทิตย์มาส่องตั้งฉาก ที่เส้นศูนย์สูตรอีกครั้ง ณ วันที่ 21 มีนาคม ตำแหน่งที่โลกโคจรมาอยู่นี้ เป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ ของเขตอบอุ่นในซีกโลกเหนือ เรียกว่า วสันตวิษุวัต (vernal equinox)
สาเหตุ ดังกล่าวทำให้พื้นที่ต่าง ๆ บนพื้นโลกในแต่ละช่วงเวลามีอุณหภูมิแตกต่างกันไป จนสามารถแบ่งช่วงเวลาของ การเกิดฤดูตามเขตต่าง ๆ ได้โดยพิจารณาตำแหน่งการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์


ฤดูกาลในทวีปยุโรป
ทวีปยุโรปเป็นทวีปที่น่าเที่ยวที่สุดในโลก ในสายตาของนักท่องเที่ยวผู้ช่ำชอง เพราะยุโรปเป็นทวีปที่รวมซึ่งโลกเก่า
ที่ไม่เปลี่ยนแปลง และโลกใหม่ ของยุคเทคโนโลยีที่รุดหน้ากว่าใคร เป็นทวีปที่รวมไว้ซึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงที่สุด
ทางโบราณคดี อารยธรรม และธรรมชาติสารพัด รูปแบบที่แปลกตา ในแต่ละปีช่วงที่น่าเที่ยวที่สุด ของยุโรป
อยู่ระหว่างเดือนเมษายน-ตุลาคม เป็นเวลาที่อากาศดี

ฤดูใบไม้ผลิ (21มีนาคม-21มิถุนายน)
เป็นช่วงเดือนที่ยุโรปกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่มีความวิเวกวังเวงและเยือกเย็นของฤดูหนาว ผ่านพ้นไปแล้วดอกไม้ใบหญ้าเริ่มผลิดอกออกใบ แสงแดดอ่อน ๆสีทองเรืองรองเริ่มสาดส่องลงมา เสียงนกเจื้อยแจ้วรับฤดูใหม่
อันมีชีวิตชีวาสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้กับธรรมชาติแวดล้อม อย่างมากมาย นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเรา
นิยมไปเยือนยุโรปช่วงนี้มากที่สุด เพราะอยู่ระหว่างโรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน และที่สำคัญคือเป็นช่วง ที่ดอกไม้ ในยุโรปเบ่งบานงดงามที่สุด โดยเฉพาะในฮอลแลนด์ มีงานเทศกาล ดอกทิวลิป และสวนพฤกษชาติ เคอเคนฮอฟ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของ มวลดอกไม้นานาพันธุ์สดสีสวยงาม เปิดให้เข้าชมตอนกลางเดือน เมษายนถึงกลางเดือน พฤษภาคมเท่านั้น อากาศกำลังสบายน่าเที่ยว อุณหภูมิเฉลี่ย 12-22 องศาเซลเซียส

ฤดูร้อน. (21มิถุนายน - 22 กันยายน)
ฤดูแห่งความอบอุ่น และมีชีวิตของยุโรป ระหว่าง3-4 เดือนนี้ ทวีปยุโรปจะสว่างไสวไปด้วยแสงแดดอันอบอุ่นที่สุดในรอบปีในแต่ละวันจะมีแดด ให้เห็นจนถึง 4 ทุ่มจึงพลบค่ำ แม้แต่ชาวยุโรปผู้รักธรรมชาติเองก็พากันลาพักร้อนไปตากอากาศ หรือพักผ่อนกันอย่างมากมาย สถานที่ ท่องเที่ยว อันเป็นที่โปรดปรานที่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ เมษายน
.ถึงเดือนตุลาคม อาทิ เมืองตุ๊กตามาดูโรดัม ในฮอลแลนด์ อุทยานน้ำพุทิโวลี ที่กรุงโรม และเรือล่องแม่น้ำไรน์ ในเยอรมัน อากาศโดยทั่วไปเย็นตอนเช้าตรู่ และหัวค่ำ กลางวันร้อนแต่ไม่อบอ้าว อุณหภูมิเฉลี่ย 18-30 องศาเซลเซียส

ฤดูใบไม้ร่วง (22 กันยายน - 21 ธันวาคม)
โดยทั่วไปยังอบอุ่นเช่นเดียวกับฤดูร้อนที่ผ่านมา สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไปเปิดตามปกติ เหมือน ฤดูร้อนจนกระทั่งปลายเดือน
ตุลาคม อากาศจึงเริ่มเย็นขึ้น แต่ยังถือเป็นฤดูน่าเที่ยวของยุโรปอยู่ เนื่องจากใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวสด เป็นเหลืองปนน้ำตาลแดง สอดสีเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งทวีป อากาศกำลังเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ย 10-18 องศาเซลเซียส

ฤดูหนาว. (22ธันวาคม - 21 มีนาคม)
ถึงแม้เดือนแห่งความอบอุ่นของฤดูร้อนจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ยุโรปก็ยังเต็มไปด้วย เอกลักษณ์ของความเป็นเมืองหนาวอย่างน่าชมทีเดียว ประเทศที่มี ภูเขาสูง (อิตาลี, สวิส, ฝรั่งเศส) จะมีหิมะปกคลุมอยู่ขาวนวล ถึงอากาศจะเย็น แต่นักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากก็ยังหลั่งไหลมายุโรป มาเพื่อสัมผัสกับ บรรยากาศอันสุขสงบของหิมะเมืองหนาว ยุโรปฤดูนี้จะเงียบ ไม่พลุกพล่าน หรือแออัดด้วยนักท่องเที่ยว เหมือนในฤดูร้อน อุณหภูมิเฉลี่ย 1 ถึง -10 องศาเซลเซียส


*ฝนแบบปะทะมวลอากาศ = การเคลื่อนที่ของมวลอากาศที่มีอุณหภูมิและความชื้นต่างกันพัดมาปะทะกัน ลมที่มีอุณหภูมิสูงมีไอน้ำมากมากระทบกับลมที่มีอุณหภูมิต่ำ ไอน้ำกระทบความเย็นเกิดการควบแน่นตกลงมาเป็นฝน
ฝนพาความร้อน = เกิดจากอากาศร้อนลอยตัวสูงขึ้น โดยพาไอน้ำที่ระเหยลอยขึ้นไปในอากาศ กลายเป็นเมฆฝน เมื่อไอน้ำอิ่มตัว ก็จะกลั่นตัวตกลงมาเป็นฝน
ฝนปะทะภูเขา = เกิดจากลมที่พัดพาความชื้นจากทะเลหรือมหาสมุทร ไปปะทะกับภูเขา ด้านรับลมของภูเขาจะเกิดฝนตกหนักด้านหลังเขามีฝนตกน้อย

**
หยาดน้ำฟ้า = ผลิตผลของน้ำที่ได้จากฟ้า ได้แก่ หิมะ ฝน ลูกเห็บ น้ำค้าง เมฆ หมอก
หิมะ = ผลึกน้ำแข็งเกิดจากไอน้ำในอากาศเปลี่ยนสถานะกลายเป็นน้ำแข็งขนาดเล็ก
ฝน = ไอน้ำในอากาศที่เปลี่ยนสถานะจากเมฆกลายเป็นของเหลว
ลูกเห็บ = ไอน้ำในอากาศที่เปลี่ยนสถานะจากเมฆกลายเป็นน้ำแข็งขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง
น้ำค้าง = ไอน้ำในอากาศที่เปลี่ยนสถานะจากกาซกลายเป็นของเหลว พบอยุ่ตามยอดหญ้า ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียสจะกลายเป็นน้ำค้างแข็ง
เมฆ = ไอน้ำในอากาศที่ลอยตัวอยู่เป็นกลุ่มในระดับสูงในบรรยากาศ
หมอก = ไอน้ำในอากาศที่ลอยตัวอยู่เป็นกลุ่มเหมือนเมฆแต่ลอยตัวอยู่ในระดับต่ำมีฐานติดอยู่กับพื้นผิวโลก

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

น้ำกับผิวของเรา

คนเรานั้นไม่สามารถถอดได้ทนกว่าอดอาหาร น้ำจึงมีความสำคัญรองจากอากาศเลยทีเดียว หากขาดน้ำหลายวันผิวพรรณจะซูบซีดไม่มีเรี่ยวแรงอย่างรวดเร็ว
น้ำ เป็นปัจจัยสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตเลยทีเดียวเพราะนั้นจะเข้าไปช่วยหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายให้อย่างคล่องตัวทำให้ร่างกายสดชื่น ชุ่มฉ่ำ โลหิตไหลเวียนดีร่างกายเราจะมีการเรียกร้องโดยอัตโนมัตื เมื่อต้องกานน้ำ หรือกำลังขาดน้ำ
นอกจากน้ำจะช่วยให้ทุกส่วนทำงานได้สอดคล้องกันดีแล้วยังช่วยควบคุมอุณหภูมิของรางกายให้คงที่ ฉะนั้นคนเราจึงควรได้รับน้ำในปริมาณเพียงพอทุกวัน
บางคนอาจเคยได้ยิน คนพูกว่าให้ดื่มน้ำมากเพราะว่าการดื่มน้ำมากเท่าไรก็ไม่มีโทษ แต่น้ำนั้นต้องบริสุทธิ์ สะอาด ผ่านการฆ่าเชื่อโรคมาแล้ว
น้ำดื่มที่บริสุทธิ์สะอาด ช่วยสร้างความชุ่มฉ่ำให้กับร่างกายรวมทั้งผิวพรรณของคุณก็สดใส เปล่งปลั่ง ยิ่งดื่มน้ำมากเท่าไหร่ น้ำก็ช่วยขับของเสียออกได้มากขึ้น ของเสียที่ถูกขับจะออทางรูขุมขน ที่เราเรียกว่าเหงื่อ ขับออกมาทางปัสสาวะ
น้ำจึงน้ำหน้าที่เหมือนตัวล้างพิษ ล้างของเสียออกจากร่างกายนอกจากจะช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว จะสังเกตไดว่าเมื่อเราดื่มน้ำมากๆ ก็สามารถอุจจาระได้คล่อง ระบบการย่อยอาหารไม่ติดขัด
บุคคลทำงาน ซึ่งต้องสูญเสียเหงื่อมากอย่างเช่น กรรมกร แบกหาม คนงานก่อสร้าง จะต้องต้องการน้ำมากกว่าบุคคลที่ทำงานไม่ไช่แรง

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

4 ข้อควรปฏิบัติก่อนการเลือกซื้ออาหารนอกบ้าน

ชีวิตในเมืองที่รีบเร่ง ทำให้ต้องพึ่งพาร้านจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปนอกบ้านมากขึ้น และเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการบริโภค มีข้อแนะนำ 4 ข้อ
ที่ควรปฏิบัติก่อนการซื้ออาหารนอกบ้าน  ดังนี้

1. อ่านฉลากก่อนซื้อ
ดูคุณค่าของสารอาหารในฉลากโภชนาการ ชื่ออาหาร ชื่อผู้ผลิต สถานที่ผลิต
วันเดือนปีที่ผลิต วันเดือนปีที่หมดอายุ และต้องมีเครื่องหมาย อย. ซึ่งแสดงว่า
อาหารนั้นผ่านการตรวจสอบคุณภาพ และได้รับมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการ
อาหารและยา

2. สังเกตลักษณะของภาชนะบรรจุ
ต้องอยู่ในลักษณะที่ดีและสะอาด เช่น เครื่องดื่มอยู่ในภาชนะที่ปิดสนิท
กระป๋องอยู่ในสภาพดี ไม่บุบ ไม่บวม
3. สังเกตลักษณะของอาหาร
สี กลิ่น และรส ต้องไม่มีความผิดปกติจากธรรมชาติ หรือเปลี่ยนแปลงจากลักษณะเดิม
เช่น กลิ่นหืนหรือเหม็นเปรี้ยว หรือสีสันฉูดฉาด ควรเลือกซื้ออาหารที่
ใช้สีจากธรรมชาติ หรือไม่มีส่วนผสมของสีเลย
4. สังเกตความสะอาด
ขั้นตอนการเตรียมอาหาร สถานที่เตรียมอาหาร
การล้าง การปรุง และความสะอาดของผู้ขาย

ก่อนการทานอาหารทุกมื้อ
ฝากไว้สักนิดว่า อย่าลืม! ล้างมือก่อนทาน
และใช้ช้อนกลางตักแบ่งอาหารนะคะ

ที่มา : นิตยสารชีวจิต ฉบับเดือนมิถุนายน 2552

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ไม่อยากตายเร็วอย่านอนดึก!

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเองการทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

 1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า 

 2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ สัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง

2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง

           โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วน ที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่งมันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

           ระบบปัสสาวะ ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อยทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทาน แคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง

           การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก

           ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และขาดออกซิเจนได้

แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เข็มทิศ

เข็มทิศ (magnetic compass) คือเครื่องมือสำหรับใช้หาทิศทาง มีเข็มแม่เหล็กที่แกว่งไกวได้อิสระในแนวนอนทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ ตามแรงดึงดูดของแม่เหล็กโลก และที่หน้าปัดมีส่วนแบ่งสำหรับหาทิศทางโดยรอบ เข็มทิศจึงมีปลายชี้ไปทางทิศเหนือ(ทิศเหนือแม่เหล็ก) เสมอ (อักษร N หรือ น ) เมื่อทราบทิศเหนือแล้วก็ย่อมหาทิศอื่นได้ การบอกทิศทางในแผนที่โดยทั่วไป คือการบอกทิศที่สำคัญ 4 ทิศ คือทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก หรืออาจจะบอกละเอียดเป็น 8,16 หรือ 32 ทิศก็ได้

เข็มทิศมีหลายชนิด

1. เข็มทิศตลับธรรมดา หาแนวทิศเหนือได้แต่หามุมอาซิมุทไม่ได้ เป็นเข็มทิศแม่เหล็กเล็กๆ
2. เข็มทิศแบบ เลนซาติก ฝาตลับมีช่องเล็ง มีเส้นลวดขึงไว้ตรงกลางช่องฝา เพื่อให้ประกอบการเล็งที่หมาย
3. เข็มทิศข้อมือ
4. สำหรับเข็มทิศของลูกเสือ เรียกว่า เข็มทิศซิลวา (Silva) ชนิด 360 องศา เป็นเข็มทิศที่ทำในประเทศสวีเดน ทั่วโลกนิยมใช้มาก

ข้อควรระวังในการใช้เข็มทิศ

ควรจับถือเข็มทิศด้วยความระมัดระวัง เพราะหน้าปัทม์และเข็มแม่เหล็กบอบบางอ่อนไหวง่าย แรงกระแทกอาจทำให้เสียหายได้ การอ่านเข็มทิศนั้น ไม่ควรกระทำใกล้ ๆ กับสิ่งที่เป็นเหล็ก หรือวงจรไฟฟ้า แรงกระแทกอาจทำให้เสียหายได้ การอ่านเข็มทิศไม่ควรกระทำใกล้ กับสิ่งที่เป็นแม่เหล็ก หรือวงจรไฟฟ้า ควรคำนึงถึงระยะปลอดภัยในการใช้เข็มทิศโดยประมาณ ไว้ต่อไป

สายไฟแรงสูง ๖๐ หลา

รถถัง ๒๐ หลา

รถยนต์ ๒๐ หลา

สายโทรเลข ๑๐ หลา

โทรศัพท์ ๑๐ หลา

ลวดหนาม ๑๐ หลา

ปืนใหญ่ ๑๐ หลา

ปืนเล็ก ๑ หลา

การหาทิศโดยใช้เข็มทิศซิลวา
ทิศเหนือเป็นเพียงทิศหนึ่งของทิศทั้งหลาย ปกติเรามักจะสมมติทิศเหนือเป็นจุดเริ่มต้นก็เพื่อสะดวก เราจะเริ่มต้นโดยใช้เข็มทิศได้ก็ได้ ที่หน้าปัดเข็มทิศนอกจากจะมีเครื่องหมายแสดงทิศแล้ว ยังมีตัวเลขเพิ่มจำนวนไปตามเข็มนาฬิกา เริ่ม ๐ ที่ทิศเหนือแล้วหมุนตามเข็มนาฬิกากลับไปที่ทิศเหนือมีเลข ๓๖๐ เป็นตัวเลขบอกองศา ฉะนั้นทิศตะวันออกจึงเป็น ๙๐ องศา ทิศใต้ ๑๘๐ องศา ตะวันตก ๒๗๐ องศา เมื่อเราหาทิศได้ เราก็จะทราบทิศอื่น ๆ ได้ โดยหันหน้าไปทางทิศเหนือ ข้างหลังคือทิศใต้ ขวามือเป็นทิศตะวันออก ซ้ายมือจะเป็นทิศตะวันตก

ส่วนประกอบของเข็มทิศซิลวา


1. แผ่นฐานเป็นตัววัตถุโปร่งใส

2. ที่ขอบมีมาตราส่วนเป็นนิ้วหรือเซนติเมตร

3. มีลูกศรชี้ทิศทาง

4. เลนส์ขยาย

5. ตลับเข็มทิศเป็นวงกลมหมุนได้ บนกรอบหน้าปัดของเข็มทิศมี 360 องศา

6. ปลายเข็มทิศเป็นแม่เหล็กสีแดง ซึ่งจะชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ

7. ชื่อตำแหน่งสำหรับตั้งมุมและอ่านค่ามุม อยู่ตรงปลายลูกศรชี้ทิศทาง