กรมธนารักษ์ประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่ปี 55-58 ราคาเฉลี่ยเพิ่ม 21%
วันนี้ ( 28 ธ.ค.) นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า
กรมธนารักษ์จะประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.คง 55
เป็นต้นไป
เพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่เกิดจากการซื้อขายแลกเปลี่ยน ให้
หรือ นำไปค้ำประกัน การลงทุน ธุรกรรมต่าง ๆ เพื่อการเวนคืนที่ดิน
รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายภาษี และการกระจายถือครองทรัพย์สิน
ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วราคาที่ดินทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 21.34%
มีผลทำให้รายได้จากการใช้ราคาประเมินในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมต่าง ๆ
เพิ่มขึ้น จากปี 54 ที่มีมูลค่า 67,182 ล้านบาท ไปอยู่ที่กว่า 80,000
ล้านบาทในปีหน้า
ทั้งนี้จากการประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศ 29.3 ล้านแปลง หรือ 321 ล้านไร่ เป็นที่ดินรายแปลง 6 ล้านแปลง และรายบล็อก 23.3 ล้านแปลง พบว่าราคาเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 21.34% ที่ดินต่างจังหวัดเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 21.4% ส่วนกทม.เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17.13% โดยบริเวณที่มีราคาประเมินสูงสุดของประเทศคือ ถนนสีลม ตั้งแต่แยกศาลาแดงไปจนถึงแยกนราธิวาสราชนครินทร์ ตารางวา (ตร.ว.) ละ 850,000 บาท เพิ่มขึ้น 31% จากเดิม 650,000 บาท รองลงมาคือถนนราชดำริ จากแยกราชประสงค์ไปถึงคลองแสนแสบ ถนนพระรามที่ 1 จากแยกปทุมวันถึงแยกราชประสงค์ และถนนเพลินจิตตลอดสาย ตร.ว.ละ 800,000 บาท จากเดิมที่ 350,000-430,000 บาท ส่วนถนนเยาวราชเพิ่มขึ้นจากตร.ว.ละ 550,000 บาท เป็น 70,000 บาท
“บริเวณดังกล่าวแม้จะมีราคาสูงกว่าบริเวณอื่น ๆ แต่กลับพบว่าราคาประเมินที่ดินที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดกลายเป็นพื้นที่เขต อื่น คือเขตวัฒนา คลองเตย พระโขนง และบางนาที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 39.2% เพราะได้รับอิทธิพลจากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอส รองลงมาคือบางกอกน้อย บางพลัด ตลิ่งชัน และทวีวัฒนา เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 33.065 ส่วนบางขุนเทียน จอมทอง บางบอนเฉลี่ย 29%”
อย่างไรก็ดี พื้นที่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด คือเขตจตุจักร เพิ่มขึ้น 0.6% ลาดพร้าว 0.7% ประเวศ 1.5% เพราะกรมธนารักษ์ได้ปรับราคาประเมินไปแล้วระหว่างรอบบัญชีฯ ซึ่งใกล้เคียงกับราคารตลาดอยู่แล้ว
สำหรับส่วนภูมิภาคนั้น ราคาสูงสุดภาคใต้อยู่ที่ตร.ว.ละ 400,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคเหนือ ตร.ว.ละ 250,000 บาท ต่ำสุด 10 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตร.ว.ละ 200,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคกลางตร.ว.ละ 150,000 บาท ต่ำสุด 10 บาท ภาคตะวันออกตร.ว.ละ 150,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคตะวันตกตร.ว.ละ 150,000 บาทต่ำสุด 20 บาท
ส่วนพื้นที่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดอย่างน่าสนใจคือ จ.นราธิวาส เพิ่มขึ้น 141.09% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจค่อนข้างดี ยางพารามีราคาสูง ทำให้มีกำลังซื้อ ประกอบกับไม่ได้เปลี่ยนแปลงราคาประเมินใน 2 รอบบัญชีที่ผ่านมาด้วย ส่วนรองลงมาคือ จ.บุรีรัมย์เพิ่มขึ้น 81.27% และจ.ตราด เพิ่มขึ้น 74.42%
“ทั้งนี้ต่างจังหวัดที่มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดกลับอยู่ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตร.ว.ละ 400,000 บาท ยังคงเป็นราคาเพิ่ม ส่วนราคาที่ดินต่ำสุดอยู่ตร.ว.ละ 10 บาท ที่อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี และอ.ดอยหล่อ แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมไม่มีทางเข้าออก หรือเป็นพื้นที่ตาบอด”
นายนริศ กล่าวว่า กรมธนารักษ์มีแผนงานในอนาคตอีก 8 ปีข้างหน้า หรือปี 55-62 ที่จะขยายพื้นที่การประเมินราคาที่ดินรายแปลงทั่วประเทศให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและตรวจสอบราคาประเมินได้ทุกแปลงโดยสะดวก พร้อมทั้งสำรวจและจัดเก็บข้อมูลทะเบียนทรัพย์สิน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)ในปี 58 เพื่อจะได้ประเมินราคาที่ดินให้ถูกต้อง ครบถ้วน เชื่อถือได้ตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมขังให้ใช้ราคาประเมินเดิมไปอีก 1 ปี ก่อนที่จะประเมินใหม่อีกครั้ง
ทั้งนี้จากการประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศ 29.3 ล้านแปลง หรือ 321 ล้านไร่ เป็นที่ดินรายแปลง 6 ล้านแปลง และรายบล็อก 23.3 ล้านแปลง พบว่าราคาเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 21.34% ที่ดินต่างจังหวัดเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 21.4% ส่วนกทม.เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17.13% โดยบริเวณที่มีราคาประเมินสูงสุดของประเทศคือ ถนนสีลม ตั้งแต่แยกศาลาแดงไปจนถึงแยกนราธิวาสราชนครินทร์ ตารางวา (ตร.ว.) ละ 850,000 บาท เพิ่มขึ้น 31% จากเดิม 650,000 บาท รองลงมาคือถนนราชดำริ จากแยกราชประสงค์ไปถึงคลองแสนแสบ ถนนพระรามที่ 1 จากแยกปทุมวันถึงแยกราชประสงค์ และถนนเพลินจิตตลอดสาย ตร.ว.ละ 800,000 บาท จากเดิมที่ 350,000-430,000 บาท ส่วนถนนเยาวราชเพิ่มขึ้นจากตร.ว.ละ 550,000 บาท เป็น 70,000 บาท
“บริเวณดังกล่าวแม้จะมีราคาสูงกว่าบริเวณอื่น ๆ แต่กลับพบว่าราคาประเมินที่ดินที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดกลายเป็นพื้นที่เขต อื่น คือเขตวัฒนา คลองเตย พระโขนง และบางนาที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 39.2% เพราะได้รับอิทธิพลจากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอส รองลงมาคือบางกอกน้อย บางพลัด ตลิ่งชัน และทวีวัฒนา เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 33.065 ส่วนบางขุนเทียน จอมทอง บางบอนเฉลี่ย 29%”
อย่างไรก็ดี พื้นที่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด คือเขตจตุจักร เพิ่มขึ้น 0.6% ลาดพร้าว 0.7% ประเวศ 1.5% เพราะกรมธนารักษ์ได้ปรับราคาประเมินไปแล้วระหว่างรอบบัญชีฯ ซึ่งใกล้เคียงกับราคารตลาดอยู่แล้ว
สำหรับส่วนภูมิภาคนั้น ราคาสูงสุดภาคใต้อยู่ที่ตร.ว.ละ 400,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคเหนือ ตร.ว.ละ 250,000 บาท ต่ำสุด 10 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตร.ว.ละ 200,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคกลางตร.ว.ละ 150,000 บาท ต่ำสุด 10 บาท ภาคตะวันออกตร.ว.ละ 150,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคตะวันตกตร.ว.ละ 150,000 บาทต่ำสุด 20 บาท
ส่วนพื้นที่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดอย่างน่าสนใจคือ จ.นราธิวาส เพิ่มขึ้น 141.09% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจค่อนข้างดี ยางพารามีราคาสูง ทำให้มีกำลังซื้อ ประกอบกับไม่ได้เปลี่ยนแปลงราคาประเมินใน 2 รอบบัญชีที่ผ่านมาด้วย ส่วนรองลงมาคือ จ.บุรีรัมย์เพิ่มขึ้น 81.27% และจ.ตราด เพิ่มขึ้น 74.42%
“ทั้งนี้ต่างจังหวัดที่มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดกลับอยู่ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตร.ว.ละ 400,000 บาท ยังคงเป็นราคาเพิ่ม ส่วนราคาที่ดินต่ำสุดอยู่ตร.ว.ละ 10 บาท ที่อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี และอ.ดอยหล่อ แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมไม่มีทางเข้าออก หรือเป็นพื้นที่ตาบอด”
นายนริศ กล่าวว่า กรมธนารักษ์มีแผนงานในอนาคตอีก 8 ปีข้างหน้า หรือปี 55-62 ที่จะขยายพื้นที่การประเมินราคาที่ดินรายแปลงทั่วประเทศให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและตรวจสอบราคาประเมินได้ทุกแปลงโดยสะดวก พร้อมทั้งสำรวจและจัดเก็บข้อมูลทะเบียนทรัพย์สิน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)ในปี 58 เพื่อจะได้ประเมินราคาที่ดินให้ถูกต้อง ครบถ้วน เชื่อถือได้ตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมขังให้ใช้ราคาประเมินเดิมไปอีก 1 ปี ก่อนที่จะประเมินใหม่อีกครั้ง