ห้องชุดที่แพงที่สุดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีราคาห้องละ 222 ล้านบาท คือโครงการเดอะริทซ์-คาร์ตัน เรสซิเดนเซส บางกอก
แต่หากคิดต่อตารางเมตรที่แพงที่สุดจะเป็นเงินตารางเมตรละ 318,487 บาท คือโครงการ Bayan Tree Residences
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เปิดเผยว่าจากผลการสำรวจของศูนย์ฯ พบราคาห้องชุดที่แพงที่สุด 21 อันดับแรก ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งทั้งหมดอยู่ในเขตใจกลางเมืองโดยมีรายละเอียดดังนี้
อันดับที่ 1 โครงการ เดอะริทซ์-คาร์ตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ความสูง 77 ชั้น พื้นที่อาคาร 734 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ เพนท์เฮ้าส์ ราคาหน่วยละ 222.000 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 302,452 บาท จำนวนทั้งหมด 3 หน่วย ขณะนี้เหลือ 1 หน่วย มูลค่าโครงการ 666 ล้านบาท พัฒนาโดย เพซ ดีเวลลอปเมนท์ ทู http://thaisocialwork.files.wordpress.com/2013/04/p44-56_01.jpg
อันดับที่ 2 โครงการ เดอะ ริเวอร์ ซอยเจริญนคร 13 ถนนเจริญนคร ความสูง 71 ชั้น พื้นที่อาคาร 590 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ เพนท์เฮ้าส์ ราคาหน่วยละ 170.600 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 289,153 บาท จำนวนทั้งหมด 18 หน่วย ขณะนี้เหลือ 1 หน่วย มูลค่าโครงการ 3 071 ล้านบาท พัฒนาโดย ไรมอน แลนด์ http://app.ecampaign101.com/link.php?M=10218876&N=6719&L=11612&F=H
อันดับที่ 3 โครงการ My Resort@River ซอยจรัญสนิทวงศ์ 72 ถนนจรัญสนิทวงศ์ ความสูง 37 ชั้น พื้นที่อาคาร 784 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ เพนท์เฮ้าส์ ราคาหน่วยละ 119.000 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 151,786 บาท จำนวนทั้งหมด 2 หน่วย ขณะนี้เหลือ 2 หน่วย มูลค่าโครงการ 238 ล้านบาท พัฒนาโดย อิควิตี เรสซิเดนเชียล เจ้าพระยา http://app.ecampaign101.com/link.php?M=10218876&N=6719&L=11611&F=H
อันดับที่ 4 โครงการ คิว หลังสวน (Q. Langsuan) ซอยหลังสวน ถนนสุขุมวิท ความสูง 36 ชั้น พื้นที่อาคาร 511.65 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ เพนท์เฮ้าส์ ราคาหน่วยละ 109.309 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 213,640 บาท จำนวนทั้งหมด 2 หน่วย ขณะนี้เหลือ 1 หน่วย มูลค่าโครงการ 219 ล้านบาท พัฒนาโดย ควอลิตี้ เฮ้าส์ http://app.ecampaign101.com/link.php?M=10218876&N=6719&L=11610&F=H
อันดับที่ 5 โครงการ Circle sukhumvit 11 ถนนสุขุมวิท 11 ความสูง 34 ชั้น พื้นที่อาคาร 386.84 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ วิลล่า 3 ห้องนอน ราคาหน่วยละ 76.828 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 198, 604 บาท จำนวนทั้งหมด 1 หน่วย ขณะนี้เหลือ 1 หน่วย มูลค่าโครงการ 77 ล้านบาท พัฒนาโดย เฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้ http://app.ecampaign101.com/link.php?M=10218876&N=6719&L=11609&F=H
อันดับที่ 6 โครงการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ถนนราชดำริ ความสูง 60 ชั้น พื้นที่อาคาร 250 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ 4 ห้องนอน (ดูเพล็กซ์ เพนท์เฮ้าส์) ราคาหน่วยละ 69.000 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 276,000 บาท จำนวนทั้งหมด 6 หน่วย ขณะนี้เหลือ 1 หน่วย มูลค่าโครงการ 414 ล้านบาท พัฒนาโดย แมกโนเลีย ไฟน์เนสท์ คอร์ปอเรชั่น http://app.ecampaign101.com/link.php?M=10218876&N=6719&L=11608&F=H
อันดับที่ 7 โครงการ THE PANO panoramic river view ถนนพระราม 3 ความสูง 55 ชั้น พื้นที่อาคาร 650.54 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ เพนท์เฮ้าส์ ราคาหน่วยละ 63.558 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 97,700 บาท จำนวนทั้งหมด 5 หน่วย ขณะนี้เหลือ 3 หน่วย มูลค่าโครงการ 318 ล้านบาท พัฒนาโดย ริเวอร์ไซด์ โฮมส์ ดีเวลลอปเมนท์ http://app.ecampaign101.com/link.php?M=10218876&N=6719&L=11607&F=H
อันดับที่ 8 โครงการ ดิ อิสสระ ลาดพร้าว ซอย12-14 ถนนลาดพร้าว ความสูง 47 ชั้น พื้นที่อาคาร 560 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ เพนท์เฮ้าส์ ราคาหน่วยละ 61.530 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 109,875 บาท จำนวนทั้งหมด 2 หน่วย ขณะนี้เหลือ 2 หน่วย มูลค่าโครงการ 123 ล้านบาท พัฒนาโดย ซี.ไอ.เอ็น.เอสเตท http://app.ecampaign101.com/link.php?M=10218876&N=6719&L=11606&F=H
อันดับที่ 9 โครงการ แกรเลอรี่ รู เดอร์ 39 (Galerie rue de 39) ซอยสุขุมวิท 39 ถนนสุขุมวิท ความสูง 28 ชั้น พื้นที่อาคาร 160 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ ดูเพล็กซ์ 2 ชั้น 2 ห้องนอน ราคาหน่วยละ 48.384 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 302,400 บาท จำนวนทั้งหมด 6 หน่วย ขณะนี้เหลือ 5 หน่วย มูลค่าโครงการ 290 ล้านบาท พัฒนาโดย เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ http://app.ecampaign101.com/link.php?M=10218876&N=6719&L=11605&F=H
อันดับที่ 10 โครงการ ROYCE ซอยสุขุมวิท 31 ถนนสุขุมวิท ความสูง 25 39 ชั้น พื้นที่อาคาร 252 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ 4 ห้องนอน ราคาหน่วยละ 43.068 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 170,905 บาท จำนวนทั้งหมด 21 หน่วย ขณะนี้เหลือ 2 หน่วย มูลค่าโครงการ 904 ล้านบาท พัฒนาโดย เมเจอร์ดีเวลลอปเมนท์ http://app.ecampaign101.com/link.php?M=10218876&N=6719&L=11604&F=H
อันดับที่ 11 โครงการ แม่น้ำ เรสซิเดนท์ ถนนเจริญกรุง ความสูง 54 ชั้น พื้นที่อาคาร 262 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ ดูเพล็กซ์ เพนท์เฮ้าส์ ราคาหน่วยละ 39.818 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 151,977 บาท จำนวนทั้งหมด 9 หน่วย ขณะนี้เหลือ 5 หน่วย มูลค่าโครงการ 358 ล้านบาท พัฒนาโดย แม่น้ำ เรสซิเดนท์
http://app.ecampaign101.com/link.php?M=10218876&N=6719&L=11603&F=H
อันดับที่ 12 โครงการ Bayan Tree Residences ถนนสาทรใต้ ความสูง 61 ชั้น พื้นที่อาคาร 119 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ 2 ห้องนอน ราคาหน่วยละ 37.900 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 318,487 บาท จำนวนทั้งหมด 21 หน่วย ขณะนี้เหลือ 2 หน่วย มูลค่าโครงการ 796 ล้านบาท พัฒนาโดย บันยันทรี โฮเท็ล แอนด์ รีสอร์ท
อันดับที่ 13 โครงการ Millennium Residence @ Sukhumvit ซอยสุขุมวิท 16 (แยกสามมิตร) ถนนสุขุมวิท ความสูง 53 ชั้น พื้นที่อาคาร 258 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ 4 ห้องนอน ราคาหน่วยละ 37.000 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 143,411 บาท จำนวนทั้งหมด 20 หน่วย ขณะนี้เหลือ 0 หน่วย มูลค่าโครงการ 740 ล้านบาท พัฒนาโดย เอ็มอาร์ สุขุมวิท
อันดับที่ 14 โครงการ Quattro ซอยทองหล่อ 4 ถนนสุขุมวิท 55 ความสูง 28 36 ชั้น พื้นที่อาคาร 168.5 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ เพนท์เฮ้าส์ ราคาหน่วยละ 36.017 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 213,751 บาท จำนวนทั้งหมด 3 หน่วย ขณะนี้เหลือ 0 หน่วย มูลค่าโครงการ 108 ล้านบาท พัฒนาโดย แสนสิริ
อันดับที่ 15 โครงการ นอร์ธปาร์ค เพลส ซอยชิดชน ถนนวิภาวดีรังสิต ความสูง 17 ชั้น พื้นที่อาคาร 346 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ เพนท์เฮ้าส์ ราคาหน่วยละ 33.600 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 97,110 บาท จำนวนทั้งหมด 4 หน่วย ขณะนี้เหลือ 0 หน่วย มูลค่าโครงการ 134 ล้านบาท พัฒนาโดย ที.ซี.ซี แคปปิตอล แลนด์
อันดับที่ 16 โครงการ เดอะ สาธุ เรสซิเดนเซส ถนนพระราม 3 ความสูง 15 ชั้น พื้นที่อาคาร 270 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ 2 ห้องนอน ราคาหน่วยละ 32.400 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 120,000 บาท จำนวนทั้งหมด 20 หน่วย ขณะนี้เหลือ 2 หน่วย มูลค่าโครงการ 648 ล้านบาท พัฒนาโดย ต้นสน พร็อพเพอร์ตี้
อันดับที่ 17 โครงการ วิลล่า อโศก ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ความสูง 42 ชั้น พื้นที่อาคาร 293 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ เพนท์เฮ้าส์ ราคาหน่วยละ 32.200 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 109,898 บาท จำนวนทั้งหมด 4 หน่วย ขณะนี้เหลือ 2 หน่วย มูลค่าโครงการ 129 ล้านบาท พัฒนาโดย ที.ซี.ซี. แคปปิตอลแลนด์
อันดับที่ 18 โครงการ เอ็ม สีลม(M Silom) ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 2 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ความสูง 53 ชั้น พื้นที่อาคาร 166 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ 3 ห้องนอน ราคาหน่วยละ 32.000 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 192,771 บาท จำนวนทั้งหมด 7 หน่วย ขณะนี้เหลือ 3 หน่วย มูลค่าโครงการ 224 ล้านบาท พัฒนาโดย เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์
อันดับที่ 19 โครงการ เซอร์เคิล 2 (CIRCLE LIVING PROTOTYPE) ซอยเพชรบุรี 39 ถนนเพชรบุรี ความสูง 53 ชั้น พื้นที่อาคาร 195 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ วิลล่า 1 ชั้น ราคาหน่วยละ 30.000 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 153,846 บาท จำนวนทั้งหมด 2 หน่วย ขณะนี้เหลือ 0 หน่วย มูลค่าโครงการ 60 ล้านบาท พัฒนาโดย เฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้
อันดับที่ 20 โครงการ เอช สุขุมวิท 43 (H Sukhumvit 43) ซอยสุขุมวิท 43 ถนนสุขุมวิท ความสูง 32 ชั้น พื้นที่อาคาร 193.75 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ ดูเพล็กซ์ เพนท์เฮ้าส์ ราคาหน่วยละ 30.000 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 154,839 บาท จำนวนทั้งหมด 3 หน่วย ขณะนี้เหลือ 3 หน่วย มูลค่าโครงการ 90 ล้านบาท พัฒนาโดย วี สุขุมวิท 43 ดีเวลลอปเมนท์
อันดับที่ 21 โครงการ โนเบิ้ล เพลินจิต ถนนเพลินจิต ความสูง 14 45 50 ชั้น พื้นที่อาคาร 170 ตารางเมตร รูปแบบห้องเป็นแบบ ดูเพล็กซ์ ราคาหน่วยละ 30.000 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 176,471 บาท จำนวนทั้งหมด 30 หน่วย ขณะนี้เหลือ 10 หน่วย มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท พัฒนาโดย โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่าวว่าราคาห้องชุดต่อตารางเมตรที่แพงที่สุด ณ ราคา 318,487 บาท ยังถือว่าเป็นราคาเพียง 1 ใน 3 ของห้องชุดที่แพงที่สุดในสิงคโปร์ และเซียงไฮ้ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของราคาห้องชุดที่แพงที่สุดในนครมุมไบ ประเทศอินเดีย ในปีที่แล้วราคาที่แพงที่สุดในประเทศไทยขาย ณ ราคา 340,000 บาทต่อตารางเมตร แต่โครงการดังกล่าวขายหมดแล้ว
นาย ธิติศักดิ์ โพธิ์ทอง
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556
การเคหะฯโละ “บ้านเอื้ออาทร“ 20,000 ยูนิต ปิดงบปี 56
เป้าหมายการขายบ้านเอื้ออาทร 20,000 ยูนิต ของการเคหะแห่งชาติ คือแผนเร่งด่วนที่ต้องทำให้แล้วเสร็จในสิ้นปี งบประมาณในเดือนกันยายน 2556 นี้
โดยที่ผ่านมามีผู้สนใจ ประมาณ 10,780 ยูนิต ดังนั้น ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี งบประมาณดังกล่าว กคช.จึงเร่งขายโครงการ โดยใช้วิธีแบบ ไดเรกต์เซล หรือเคาะประตูบ้าน กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
โดยที่ผ่านมามีผู้สนใจ ประมาณ 10,780 ยูนิต ดังนั้น ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี งบประมาณดังกล่าว กคช.จึงเร่งขายโครงการ โดยใช้วิธีแบบ ไดเรกต์เซล หรือเคาะประตูบ้าน กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
นางพรรณสุภา ยุทธภัณฑ์บริภาร รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า กคช.จะใช้วิธีการตลาดและการขาย บ้านเอื้ออาทร ในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2556 ในช่วงเดือน กรกฎาคม-กันยายนนี้ แบบไดเรกต์เซล ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ควบคู่กับการ ตั้งศูนย์ขายเฉพาะกิจในพื้นที่ 8 แห่งด้วยกัน คือที่จังหวัดปทุมธานี 1 แห่ง, นนทบุรี 1 แห่ง, รังสิต 3 แห่ง, และสมุทร สาคร 2 แห่ง และที่การเคหะแห่งชาติคลองจั่น
โดยที่สำนักงานใหญ่คลองจั่น บางกะปิ และที่สำนักงานดูแลชุมชนศูนย์ขายทั่วประเทศอีก 80 แห่ง โดยโครงการ บ้านเอื้ออาทรที่มีขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายมีประมาณ 20,000 ยูนิต
ซึ่งส่วนใหญ่กระจายอยู่ในย่านปริมณฑล ประกอบ ด้วยโครงการบ้านเอื้ออาทรที่จังหวัดปทุมธานี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, ส่วนโครงการเอื้ออาทรในต่างจังหวัดนั้นได้มอบหมายให้บริษัทที่การเคหะฯ จ้างให้บริหารการขาย ซึ่งมีบริษัทเอกชนทำสัญญาไว้ 8 บริษัท โดยเป็นการบริหารการขายแบบไดเรกต์เซลเช่นเดียวกัน
ซึ่งส่วนใหญ่กระจายอยู่ในย่านปริมณฑล ประกอบ ด้วยโครงการบ้านเอื้ออาทรที่จังหวัดปทุมธานี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, ส่วนโครงการเอื้ออาทรในต่างจังหวัดนั้นได้มอบหมายให้บริษัทที่การเคหะฯ จ้างให้บริหารการขาย ซึ่งมีบริษัทเอกชนทำสัญญาไว้ 8 บริษัท โดยเป็นการบริหารการขายแบบไดเรกต์เซลเช่นเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตาม การเคหะฯ ตั้งเป้าขายไว้ ทั้งที่การเคหะแห่งชาติขายเอง และบริษัทเอกชนที่มารับบริหารการขาย ไว้ที่ 80% ของยอดบ้านเอื้ออาทร 20,000 ยูนิต ก็จะส่งผลให้ยอดขายบ้านเอื้ออาทรเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ของปีงบประมาณ 2556 นี้
ดังนั้น การขายโครงการบ้านเอื้ออาทรแบบไดเรกต์เซล ในช่วงไตรมาสสุดท้ายจึงเน้นการให้ข้อมูลลูกค้าเป้าหมาย ว่าการซื้อโครงการเป็นของตัวเองดีกว่าการเช่า สำหรับโครงการที่นำมาขายส่วน ใหญ่จะเป็นพื้นที่บริเวณชั้น 4 และ 5 ของอาคาร และห้องขนาดพื้นที่ 24 ตารางเมตร ซึ่งในแผนการขายโครงการดังกล่าว การเคหะฯ ใช้กลยุทธ์การตลาดโดยการเสนอการติดตั้งเหล็กดัด และมุ้งลวดให้กับลูกค้า รวมทั้งเสนอของแถมเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ฟรี
ทั้งนี้ นอกจากการขายแบบไดเรกต์เซลแล้ว การเคหะแห่งชาติเตรียมที่จะประกวดราคาขายโครงการอาคารบางพลี คอมเพล็กซ์ ที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยได้ประกวดราคาไปแล้วเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยกำหนดราคาขายไว้ 515 ล้านบาท
สำหรับโครงการอาคารบางพลี คอมเพล็กซ์ เป็นอาคารสูงที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว รูปแบบเป็นอาคารสูงเล่นระดับ โดยตัวอาคารตั้งอยู่บนพื้นที่ 14 ไร่เศษ และมีที่ดินด้านข้างอาคารดังกล่าวอีก 11 ไร่ รวมที่ดินประมาณ 26 ไร่
ซึ่งก่อนหน้า ที่การเคหะแห่งชาติจะประกาศขายโครงการดังกล่าว มีหน่วยงานราชการในท้องถิ่นสนใจซื้อ รวมทั้งเอกชนและนักลงทุนทั่วไป แต่ต้องการจะซื้อแยกพื้นที่อาคารกับพื้นที่ด้านข้าง แต่เนื่องจากการเคหะแห่งชาติ ต้องการที่จะขายพื้นที่ดังกล่าวยกแปลง จึงยังไม่สามารถขายได้ ต้องประกวดราคาขายตามวันที่กำหนดมาข้างต้น
ซึ่งก่อนหน้า ที่การเคหะแห่งชาติจะประกาศขายโครงการดังกล่าว มีหน่วยงานราชการในท้องถิ่นสนใจซื้อ รวมทั้งเอกชนและนักลงทุนทั่วไป แต่ต้องการจะซื้อแยกพื้นที่อาคารกับพื้นที่ด้านข้าง แต่เนื่องจากการเคหะแห่งชาติ ต้องการที่จะขายพื้นที่ดังกล่าวยกแปลง จึงยังไม่สามารถขายได้ ต้องประกวดราคาขายตามวันที่กำหนดมาข้างต้น
ตลาดออฟฟิศปรับค่าเช่า10%/ปี
เผยตลาดอาคารสำนักงาน กทม.ไตรมาสที่ 2/56 ยังคงมีทิศทางเป็นบวก ชี้ราคาที่ดินปรับตัวสูง-จำนวนที่ดินดิบใจกลางเมืองจำกัด ดันค่าเช่าสำนักงานเกรดเอปรับตัวสูงกว่า 10% ต่อปี
นายสุรเชษฐ กองชีพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้ซัปพลายสำนักงานเช่าที่มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 56 มากกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีพื้นที่ประมาณ 66,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) และยังมีอีกมากกว่า 257,000 ตร.ม. ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในปี พ.ศ 2557 สำหรับพื้นที่อาคารสำนักงานทั้งหมด ณ สิ้นปี56 มีประมาณ 8,098,000 ตร.ม.
"ประมาณ 80% ของอาคารสำนักงานทั้งหมดในกทม. ตั้งอยู่ในแนวรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดินสายปัจจุบัน ประมาณ 36% อยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจ ตามมาด้วยพื้นที่ตามแนวถนนพหลโยธิน และรัชดาภิเษก ที่ประมาณ 20% ในอนาคตอีกประมาณ 2-3 ปีสัดส่วนของพื้นที่ตามแนวถนนพหลโยธิน และรัชดาภิเษก จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 23%ของพื้นที่อาคารสำนักงานทั้งหมดในกทม."
สำหรับอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในทุกพื้นที่ของ กทม.มากกว่า 85% มีอัตราการเช่าสูงที่สุดในประมาณ 88% อัตราการเช่าเฉลี่ยในพื้นที่พื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจในไตรมาสที่ 2 นั้นเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 5%
ขณะที่ค่าเช่าเฉลี่ยในพื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจยังคงสูงที่สุด มากกว่าค่าเช่าเฉลี่ยของทุกพื้นที่ประมาณ 55% นอกจากนี้ อาคารสำนักงานส่วนใหญ่ที่สร้างเสร็จในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว อีกทั้งยังมีการขึ้นค่าเช่าให้มากกว่าอาคารเก่า เนื่องจากพื้นที่อาคารสำนักงานในพื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจมีจำกัด จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ค่าเช่าในพื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจสูงกว่าพื้นที่อื่น โดยค่าเช่าเฉลี่ยของอาคารสำนักงานเกรดเอในครึ่งปีแรกของปี 56 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 55 ขณะที่อาคารสำนักงานส่วนใหญ่ในพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบันปรับเพิ่มค่าเช่าจากปีที่ผ่านมาประมาณ 10%
ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน
วิเคราะห์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ วิเคราะห์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่ลงทะเบียนเข้าชมงาน "มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 28" ซึ่งจัดขึ้นโดย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยสมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 10,000 คน พบว่าร้อยละ 33 มีสถานะเป็นผู้อยู่อาศัย อีกร้อยละ 30 เป็นเจ้าของไม่มีภาระผ่อนชำระ และร้อยละ 23 เป็นผู้เช่า ทั้งหมดนี้ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายซึ่งมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอีกร้อยละ 14 เป็นเจ้าของมีภาระผ่อนชำระและอยู่บ้านพักสวัสดิการ สำหรับอาชีพของผู้ตอบแบบสอบถาม พบกว่าเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 55 เป็นกลุ่มพนักงานเอกชน อีกร้อยละ 15 เป็นข้าราชการ-รัฐวิสาหกิจ และร้อยละ 10 เป็นเจ้าของกิจการ อีกร้อยละ 20 ประกอบอาชีพค้าขายและอาชีพอิสระ
ในด้านรายได้ พบว่าร้อยละ 16 มีรายได้ครอบครัวต่อเดือนไม่เกิน 30,000 บาท ร้อยละ 25 มีรายได้ครอบครัวต่อเดือนตั้งแต่ 30,001-50,000 บาท ร้อยละ 45 มีรายได้ต่อครอบครัวต่อเดือนเกิน 50,001-150,000 บาท กลุ่มรายได้ดังกล่าวมีความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย
สำหรับประเภทที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด คือบ้านเดี่ยว ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 38 รองลงมาร้อยละ 37 เป็นห้องชุด และอีกร้อยละ 17 เป็นทาว์เฮาส์ ด้านพื้นที่ที่ต้องการซื้อ พบว่าร้อยละ 53 ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใกล้สถานีรถไฟฟ้าร้อยละ 26 ต้องการซื้อใกล้สถานที่ทำงาน ซึ่งหมายถึงโซนที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่านในปัจจุบัน หรือกำลังก่อสร้างหรือมีโครงการที่จะก่อสร้างในอนาคต ด้านทำเลที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคตเขตที่ผู้บริโภคต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมากที่สุดในกรุงเทพฯ เรียงตามลำดับ คือ บางนา ลาดพร้าว จตุจักร ห้วยขวาง พระโขนง บางกะปิ พญาไท ธนบุรี สาทร และคลองเตย ในจังหวัดนนทบุรี อำเภอที่มีความต้องการซื้อสูงสุดคืออำเภอเมืองนนทบุรี บางบัวทอง ปากเกร็ด และบางใหญ่ ส่วนในจังหวัดสมุทรปราการ อำเภอที่มีความต้องการซื้อสูงสุด ได้แก่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ บางพลี และพระประแดง บางบ่อ ด้านระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อ พบว่าร้อยละ 13 จะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงเวลาระหว่างการจัดงาน ร้อยละ 3 ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 1-6 เดือน ร้อยละ 18 ต้องการซื้อภายใน 6-12 เดือน ร้อยละ 23 ต้องการซื้อภายใน 1-2 ปี และร้อยละ 11 ต้องการซื้อในระยะเวลาเกิน 2 ปีขึ้นไป ร้อยละ 58 ต้องการซื้อเพื่อแยกครอบครัวหรือแต่งงาน และเพื่อมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ในขณะที่อีกร้อยละ 19 ของผู้บริโภคต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อเป็นทรัพย์สิน และเพื่อลงทุนหรือให้เช่า
ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ร้อยละ 78 มีความต้องการใช้แหล่งเงินทุนจากสถานบันการเงิน โดยร้อยละ 73 มีความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท ทั้งนี้ ที่อยู่อาศัยในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคส่วนใหญ่คือ ร้อยละ 67
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
เจาะแนวโน้มราคาคอนโดฯ-บ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ ปี 56
พีรพัฒน์ วงศ์บุตร
เจาะดัชนีราคาคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ครึ่งแรก ปี 2556 ชี้คอนโดฯ ราคาเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 บ้านจัดสรร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 ทาวน์เฮาส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่จัดทำดัชนีราคาคอนโดฯ โดยเป็นประมวลผลจากการสำรวจโครงการคอนโดฯ ในพื้นที่กรุงเทพฯ จังหวัดเดียว ส่วนราคาบ้านเดี่ยว และราคาทาวน์เฮาส์เป็นการประมวลผลจากการสำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯ และ 3 จังหวัดปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ โดยดัชนีราคาคอนโดฯ รวมทุกระดับราคา สำหรับครึ่งแรกของปี 2556 มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.9 ปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2555 โดยเมื่อแยกพิจารณาในแต่ละช่วงราคาพบว่า คอนโดฯ ที่มีระดับราคาต่ำกว่า 50,000 บาท/ตร.ม. มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.5 ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 เมื่อเทียบกับครึ่งแรก ปี 2555 ส่วนคอนโดฯ ที่มีระดับ 50,000-79,999 บาท/ตร.ม. มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.5 ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับครึ่งแรก ปี 2555
ส่วนคอนโดฯที่มีระดับราคาตั้งแต่ 80,000 บาท/ตร.ม. ขึ้นไป มีค่าดัชนีเท่ากับ 110.8 ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 โดยสรุปคอนโดฯระดับราคาต่ำกว่า 50,000 บาท/ตร.ม. มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากว่าคอนโดฯ ในระดับราคาอื่นๆ โดยเขตที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ เขตวังทองหลาง (ถนนรามคำแหง) เขตคันนายาว (ถนนรามอินทรา) เขตประเวศ (ถนนศรีนครินทร์) เขตห้วยขวาง (ในซอยลึกเข้าไปจากถนนลาดพร้าว) ทั้งนี้คอนโดฯ ระดับราคา 50,000-79,999 บาท/ตรม. เขตที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากได้แก่เขตห้วยขวาง (ถนนรัชดาภิเษก) เขตดินแดง (ถนนรัชดาภิเษก) เขตจตุจักร เขตบางกะปิ (ถนนรามคำแหง และราษฎร์บูรณะ ส่วนคอนโดฯระดับราคาสูงกว่า 80,000 บาท/ตร.ม. ปรับราคาเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ เขตปทุมวัน เขตราชเทวี เขตวัฒนา เขตพระโขนง และเขตสาทร
สำหรับดัชนีบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และ 3 จังหวัดปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 112.8 ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับครึ่งแรก ปี 2555 โดยหากแยกพื้นที่ พบว่าเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 และใน 3 จังหวัดปริมณฑลปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ และ 3 จังหวัดปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 118.4 ปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบกับครึ่งแรก ปี 2555 โดยหากแยกพื้นที่ พบว่าเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 และใน 3 จังหวัดปริมณฑล ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9
อย่างไรก็ตามราคาคอนโดฯ ราคาบ้านเดี่ยว และราคาทาวน์เฮ้าส์ต่างเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับรอบครึ่งปีที่ผ่านมาโดยมีราคาสูงขึ้น จากการปรับขึ้นค่าแรงและราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ปิดตำนาน “บ้านเอื้ออาทร“ การเคหะฯ เทขาย 2.8 แสนยูนิต
เป็นเวลานับ 10 ปี ที่การเคหะแห่งชาติได้เปิดโครงการ บ้าน เอื้ออาทร เพื่อให้คนชนชั้นรากหญ้าได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง นับตั้งแต่ปี 2546 ถึงปี 2557 ที่จะเป็นปีสุดท้ายของโครงการนี้ โดยจะมี "บ้านเอื้ออาทร" สำหรับขายให้กลุ่มคนรายได้น้อย อีก 280,000 ยูนิต
นางพรรณสุภา ยุทธภัณฑ์บริภาร รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่าหลังจากที่ก่อสร้างโครงการ "บ้านเอื้ออาทร" จำนวน 280,000 หน่วย แล้วเสร็จในปี 2557 การเคหะแห่งชาติ จะปิดโครงการบ้านเอื้ออาทรอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือว่าเป็นการปิดตำนาน "บ้านเอื้ออาทร" อย่างถาวร นับจากเริ่มโครง-การ ในปี 2546 ถึงปีนี้รวม 10 ปีพอดี
"ตอนนี้ก็รอทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) พิจารณาโครงการแพ็กเกจที่ 1 ซึ่งรวมถึงโครงการ by NHA ที่ได้เสนอแผนไปแล้ว และขณะนี้ คาดว่าจะใกล้ได้ข้อสรุปประมาณไตร-มาสที่ 3 (เดือนเมษายน-มิถุนายน) ของ ปีงบประมาณ 2556 นี้ ซึ่งหากเป็นไปตามที่การเคหะฯ คาดก็จะทำให้สามารถ เปิดการจองโครงการได้ภายในไตรมาสที่ 4 นี้เป็นต้นไป"
ทั้งนี้ หากมีการเปิดจองโครงการดังกล่าว ลูกค้าจะต้องวางเงินจอง 15 เปอร์เซ็นต์ และจะต้องมียอดจองรวมทั้งโครง-การจำนวน 50 เปอร์เซ็นต์ ก่อนจึงจะเริ่ม การก่อสร้างโครงการได้ ซึ่งการเคหะฯ มีความมั่นใจว่าจะมียอดการจองเกินเป้าหมายแน่นอน รอเพียงการเปิดขายเท่านั้น
ประกอบกับการก่อสร้างโครงการดังกล่าว จะแบ่งเป็นเฟสๆ ไป เพื่อขายและสร้างให้เสร็จพร้อมอยู่ แล้วจึงจะขายเฟสต่อไป โดยมีข้อตกลงว่า เฟสที่ 2 ที่ก่อสร้าง จะต้องไม่รบกวนผู้อยู่อาศัยในเฟสแรก ในเรื่องมลภาวะต่างๆ โดยโครงการใหม่นี้ จะมีการปรับปรุงรูปแบบทันสมัยมากขึ้น มีเทคนิควิธีการก่อสร้างและวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างที่มีมาตรฐาน และราคาไม่แพงเข้ามาใช้ในการก่อสร้างอาคาร
ประกอบกับการก่อสร้างโครงการดังกล่าว จะแบ่งเป็นเฟสๆ ไป เพื่อขายและสร้างให้เสร็จพร้อมอยู่ แล้วจึงจะขายเฟสต่อไป โดยมีข้อตกลงว่า เฟสที่ 2 ที่ก่อสร้าง จะต้องไม่รบกวนผู้อยู่อาศัยในเฟสแรก ในเรื่องมลภาวะต่างๆ โดยโครงการใหม่นี้ จะมีการปรับปรุงรูปแบบทันสมัยมากขึ้น มีเทคนิควิธีการก่อสร้างและวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างที่มีมาตรฐาน และราคาไม่แพงเข้ามาใช้ในการก่อสร้างอาคาร
ด้านความคืบหน้า โครงการที่อยู่อาศัยร่วมกับ รฟม. นั้น นางพรรณสุภา กล่าวว่าขณะนี้มีการประชุมร่วมกันและใกล้ที่จะได้ข้อสรุปแล้ว หากไม่มีการตั้งบริษัทลูก ก็จะพิจารณาว่าความร่วมมือจะเป็นลักษณะใด อาจจะเป็น รฟม. เป็นเจ้าของที่ดิน การเคหะฯ เป็นคนก่อสร้างแล้วจ่ายค่าเช่า คาดว่าในประมาณ 1-2 เดือนนี้ จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนและแน่นอน โดยน่าจะเริ่มโครงการได้ที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงก่อนเป็นแห่งแรก ซึ่งมีพื้นที่ 14 ไร่
สำหรับการจัดงานเมื่อวันที่ 22-31 มีนาคมที่ผ่านมา ในงาน "40 ปี การเคหะแห่งชาติ คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะฯ" ที่สำนักงานใหญ่และศูนย์ขายทั่วประเทศ ทำยอดขายเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก โดยขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในท้องถิ่นที่กระจายข่าวไปทั่ว และจุดเด่นเรื่องโครงการบ้านเอื้ออาทร และเคหะชุมชน ที่นำมาขายในครั้งที่ผ่าน ได้ทำการซ่อมเสร็จและลูกค้าสามารถเข้าอยู่ได้เลย ไม่ต้องให้ลูกค้าไปซ่อมเองเหมือนที่ผ่านมา จึงทำให้ยอดขายถล่มทลาย
แต่อย่างไรก็ตาม โครงการที่ขายได้เป็นโครงการที่อยู่ปริมณฑล และต่างจังหวัด เนื่องจากโครงการในกรุงเทพฯนั้น ได้ขายหมดไปแล้ว ซึ่งโครงการบ้านเอื้ออาทรและเคหะชุมชนที่มีรวมกันจำนวนกว่า 10,000 ยูนิต งานที่ผ่านมาขายไป 4,100 หน่วย เหลืออีกประมาณ 6,000 หน่วย คาดว่าประมาณปลายเดือนเมษายนนี้ จะมีการประชุมการตลาดและการขาย เพื่อดูว่าโครงการที่เหลืออยู่ในพื้นที่ใดบ้าง และจะใช้วิธีการไดเรกต์เซลถึงลูกค้าโดยตรงเลยหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้ไป การจัดงาน มหกรรมขายบ้านการเคหะฯ จะเป็นโครงการใหม่ แต่ขณะนี้ยังรอการอนุมัติจากสภาพัฒน์ก่อนซึ่งก็จะไม่ใช่บ้านเอื้ออาทรอีกแล้ว
นอกจากโครงการบ้านเอื้ออาทร และเคหะชุมชนที่ขายไปแล้ว ในส่วนของโครงการบ้านเอื้ออาทรที่การเคหะแห่งชาติ ได้ทำการซื้อคืนจากสถาบันการเงิน เนื่องจากลูกค้าไม่ผ่อนชำระตามกำหนด ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 เริ่มเดือนตุลาคมที่ผ่านมา การเคหะฯได้ซื้อบ้านเอื้ออาทรคืนมา 300 ยูนิตต่อเดือน (ในขณะที่ ปีงบประมาณ 2555 ซื้อคืน เดือนละ 500 ยูนิต) ซึ่งเป็นยอดที่ลดลงเป็นที่น่าพอใจของการเคหะแห่งชาติมาก
วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
กรมธนารักษ์ประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่ปี 55-58 ราคาเฉลี่ยเพิ่ม 21%
กรมธนารักษ์ประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่ปี 55-58 ราคาเฉลี่ยเพิ่ม 21%
วันนี้ ( 28 ธ.ค.) นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า
กรมธนารักษ์จะประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.คง 55
เป็นต้นไป
เพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่เกิดจากการซื้อขายแลกเปลี่ยน ให้
หรือ นำไปค้ำประกัน การลงทุน ธุรกรรมต่าง ๆ เพื่อการเวนคืนที่ดิน
รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายภาษี และการกระจายถือครองทรัพย์สิน
ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วราคาที่ดินทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 21.34%
มีผลทำให้รายได้จากการใช้ราคาประเมินในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมต่าง ๆ
เพิ่มขึ้น จากปี 54 ที่มีมูลค่า 67,182 ล้านบาท ไปอยู่ที่กว่า 80,000
ล้านบาทในปีหน้า
ทั้งนี้จากการประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศ 29.3 ล้านแปลง หรือ 321 ล้านไร่ เป็นที่ดินรายแปลง 6 ล้านแปลง และรายบล็อก 23.3 ล้านแปลง พบว่าราคาเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 21.34% ที่ดินต่างจังหวัดเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 21.4% ส่วนกทม.เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17.13% โดยบริเวณที่มีราคาประเมินสูงสุดของประเทศคือ ถนนสีลม ตั้งแต่แยกศาลาแดงไปจนถึงแยกนราธิวาสราชนครินทร์ ตารางวา (ตร.ว.) ละ 850,000 บาท เพิ่มขึ้น 31% จากเดิม 650,000 บาท รองลงมาคือถนนราชดำริ จากแยกราชประสงค์ไปถึงคลองแสนแสบ ถนนพระรามที่ 1 จากแยกปทุมวันถึงแยกราชประสงค์ และถนนเพลินจิตตลอดสาย ตร.ว.ละ 800,000 บาท จากเดิมที่ 350,000-430,000 บาท ส่วนถนนเยาวราชเพิ่มขึ้นจากตร.ว.ละ 550,000 บาท เป็น 70,000 บาท
“บริเวณดังกล่าวแม้จะมีราคาสูงกว่าบริเวณอื่น ๆ แต่กลับพบว่าราคาประเมินที่ดินที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดกลายเป็นพื้นที่เขต อื่น คือเขตวัฒนา คลองเตย พระโขนง และบางนาที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 39.2% เพราะได้รับอิทธิพลจากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอส รองลงมาคือบางกอกน้อย บางพลัด ตลิ่งชัน และทวีวัฒนา เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 33.065 ส่วนบางขุนเทียน จอมทอง บางบอนเฉลี่ย 29%”
อย่างไรก็ดี พื้นที่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด คือเขตจตุจักร เพิ่มขึ้น 0.6% ลาดพร้าว 0.7% ประเวศ 1.5% เพราะกรมธนารักษ์ได้ปรับราคาประเมินไปแล้วระหว่างรอบบัญชีฯ ซึ่งใกล้เคียงกับราคารตลาดอยู่แล้ว
สำหรับส่วนภูมิภาคนั้น ราคาสูงสุดภาคใต้อยู่ที่ตร.ว.ละ 400,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคเหนือ ตร.ว.ละ 250,000 บาท ต่ำสุด 10 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตร.ว.ละ 200,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคกลางตร.ว.ละ 150,000 บาท ต่ำสุด 10 บาท ภาคตะวันออกตร.ว.ละ 150,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคตะวันตกตร.ว.ละ 150,000 บาทต่ำสุด 20 บาท
ส่วนพื้นที่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดอย่างน่าสนใจคือ จ.นราธิวาส เพิ่มขึ้น 141.09% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจค่อนข้างดี ยางพารามีราคาสูง ทำให้มีกำลังซื้อ ประกอบกับไม่ได้เปลี่ยนแปลงราคาประเมินใน 2 รอบบัญชีที่ผ่านมาด้วย ส่วนรองลงมาคือ จ.บุรีรัมย์เพิ่มขึ้น 81.27% และจ.ตราด เพิ่มขึ้น 74.42%
“ทั้งนี้ต่างจังหวัดที่มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดกลับอยู่ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตร.ว.ละ 400,000 บาท ยังคงเป็นราคาเพิ่ม ส่วนราคาที่ดินต่ำสุดอยู่ตร.ว.ละ 10 บาท ที่อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี และอ.ดอยหล่อ แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมไม่มีทางเข้าออก หรือเป็นพื้นที่ตาบอด”
นายนริศ กล่าวว่า กรมธนารักษ์มีแผนงานในอนาคตอีก 8 ปีข้างหน้า หรือปี 55-62 ที่จะขยายพื้นที่การประเมินราคาที่ดินรายแปลงทั่วประเทศให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและตรวจสอบราคาประเมินได้ทุกแปลงโดยสะดวก พร้อมทั้งสำรวจและจัดเก็บข้อมูลทะเบียนทรัพย์สิน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)ในปี 58 เพื่อจะได้ประเมินราคาที่ดินให้ถูกต้อง ครบถ้วน เชื่อถือได้ตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมขังให้ใช้ราคาประเมินเดิมไปอีก 1 ปี ก่อนที่จะประเมินใหม่อีกครั้ง
ทั้งนี้จากการประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศ 29.3 ล้านแปลง หรือ 321 ล้านไร่ เป็นที่ดินรายแปลง 6 ล้านแปลง และรายบล็อก 23.3 ล้านแปลง พบว่าราคาเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 21.34% ที่ดินต่างจังหวัดเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 21.4% ส่วนกทม.เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17.13% โดยบริเวณที่มีราคาประเมินสูงสุดของประเทศคือ ถนนสีลม ตั้งแต่แยกศาลาแดงไปจนถึงแยกนราธิวาสราชนครินทร์ ตารางวา (ตร.ว.) ละ 850,000 บาท เพิ่มขึ้น 31% จากเดิม 650,000 บาท รองลงมาคือถนนราชดำริ จากแยกราชประสงค์ไปถึงคลองแสนแสบ ถนนพระรามที่ 1 จากแยกปทุมวันถึงแยกราชประสงค์ และถนนเพลินจิตตลอดสาย ตร.ว.ละ 800,000 บาท จากเดิมที่ 350,000-430,000 บาท ส่วนถนนเยาวราชเพิ่มขึ้นจากตร.ว.ละ 550,000 บาท เป็น 70,000 บาท
“บริเวณดังกล่าวแม้จะมีราคาสูงกว่าบริเวณอื่น ๆ แต่กลับพบว่าราคาประเมินที่ดินที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดกลายเป็นพื้นที่เขต อื่น คือเขตวัฒนา คลองเตย พระโขนง และบางนาที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 39.2% เพราะได้รับอิทธิพลจากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอส รองลงมาคือบางกอกน้อย บางพลัด ตลิ่งชัน และทวีวัฒนา เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 33.065 ส่วนบางขุนเทียน จอมทอง บางบอนเฉลี่ย 29%”
อย่างไรก็ดี พื้นที่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด คือเขตจตุจักร เพิ่มขึ้น 0.6% ลาดพร้าว 0.7% ประเวศ 1.5% เพราะกรมธนารักษ์ได้ปรับราคาประเมินไปแล้วระหว่างรอบบัญชีฯ ซึ่งใกล้เคียงกับราคารตลาดอยู่แล้ว
สำหรับส่วนภูมิภาคนั้น ราคาสูงสุดภาคใต้อยู่ที่ตร.ว.ละ 400,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคเหนือ ตร.ว.ละ 250,000 บาท ต่ำสุด 10 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตร.ว.ละ 200,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคกลางตร.ว.ละ 150,000 บาท ต่ำสุด 10 บาท ภาคตะวันออกตร.ว.ละ 150,000 บาท ต่ำสุด 25 บาท ภาคตะวันตกตร.ว.ละ 150,000 บาทต่ำสุด 20 บาท
ส่วนพื้นที่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดอย่างน่าสนใจคือ จ.นราธิวาส เพิ่มขึ้น 141.09% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจค่อนข้างดี ยางพารามีราคาสูง ทำให้มีกำลังซื้อ ประกอบกับไม่ได้เปลี่ยนแปลงราคาประเมินใน 2 รอบบัญชีที่ผ่านมาด้วย ส่วนรองลงมาคือ จ.บุรีรัมย์เพิ่มขึ้น 81.27% และจ.ตราด เพิ่มขึ้น 74.42%
“ทั้งนี้ต่างจังหวัดที่มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดกลับอยู่ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตร.ว.ละ 400,000 บาท ยังคงเป็นราคาเพิ่ม ส่วนราคาที่ดินต่ำสุดอยู่ตร.ว.ละ 10 บาท ที่อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี และอ.ดอยหล่อ แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมไม่มีทางเข้าออก หรือเป็นพื้นที่ตาบอด”
นายนริศ กล่าวว่า กรมธนารักษ์มีแผนงานในอนาคตอีก 8 ปีข้างหน้า หรือปี 55-62 ที่จะขยายพื้นที่การประเมินราคาที่ดินรายแปลงทั่วประเทศให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและตรวจสอบราคาประเมินได้ทุกแปลงโดยสะดวก พร้อมทั้งสำรวจและจัดเก็บข้อมูลทะเบียนทรัพย์สิน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)ในปี 58 เพื่อจะได้ประเมินราคาที่ดินให้ถูกต้อง ครบถ้วน เชื่อถือได้ตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมขังให้ใช้ราคาประเมินเดิมไปอีก 1 ปี ก่อนที่จะประเมินใหม่อีกครั้ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)